รวมสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปโดนให้ได้สักครั้งใน ‘จังหวัดเกียวโต’

พ.ย. 09, 2020

  • [favorite_button]

จังหวัดเกียวโต หรือ ‘นครพันปีเกียวโต’ เป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปลายศตวรรษที่ 8 เกียวโตเป็นเมืองทางตะวันตกของเกาะฮอนชูที่เจริญรุ่งเรืองมากในฐานะศูนย์กลางการปกครอง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เกียวโตได้สืบทอดประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า 1,100 ปี ก่อนที่ญี่ปุ่นจะย้ายเมืองหลวงไปที่เอโดะหรือโตเกียวในปัจจุบัน หลังจากการล่มสลายทางอำนาจของ ‘โทคุกาวะ โยชิโนบุ’ โชกุนคนสุดท้าย และเข้าสู่ยุคเมจิหรือยุคที่จักรพรรดิกลับมามีอำนาจอีกครั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

นอกจากนี้ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ‘จังหวัดเกียวโต’ กับจังหวัดโยโกฮาม่าก็อยู่ในลิสต์อันดับต้นๆ ที่อเมริกาจะทิ้งระเบิดปรมาณูใส่! แต่ด้วยเหตุผลหรือสิ่งศักดิ์สิทธ์ประการใดก็ไม่รู้ อเมริกากลับเปลี่ยนใจไปทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิม่าแทนซะงั้น!

(ความจริงแล้วสาเหตุที่ไม่ทิ้งระเบิดลงที่โยโกฮาม่านั้น เป็นเพราะว่าเมืองนี้ได้รับความเสียหายมามากพอแล้วจากการทำสงครามภาคปกติ อเมริกาเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องไปทิ้งระเบิดที่นี่ให้เสียเวลาหรอก ก็มันไม่อิมแพคนี่ ส่วนที่ตัดเกียวโตออกไปเป็นเพราะว่าเมืองนี้ยังคงเป็นศูนย์กลางของจักรพรรดิอยู่ หลังสงครามจบก็กลัวจะไม่ได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นถ้าทิ้งระเบิดลงที่นี่)

ถ้าพูดถึง ‘จังหวัดเกียวโต’ ภาพในหัวของทุกคนก็คงจะเป็นวัดหรือศาลเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อเสียงใช่ไหมล่ะ เพราะนอกจากจะมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ถึง 17 แห่งแล้ว เกียวโตยังเป็นเมืองที่เปรียบเสมือนต้นกำเนิดของวัฒนธรรมญี่ปุ่นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย ศาสนา การปกครอง และอื่นๆอีกมากมาย

นี่ยังไม่รวมถึงมรดกโลกอย่างวัดคิโยมิสึและปราสาทนิโจด้วยนะ ไหนจะเทศกาลหลักทั้ง 3 ของเกียวโตที่ทั่วโลกต่างรู้จัก คือ เทศกาลอาโออิที่จัดขึ้นช่วงต้นฤดูร้อน เทศกาลกิองที่จัดขึ้นกลางฤดูร้อน และเทศกาลจิไดที่จัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง นอกจากนั้นยังมี โกซัง โนะ โอคุริบิ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อไดมอนจิ-ยากิ ซึ่งจัดขึ้นในคืนอุราบ้ง (หรือวันที่ 16 สิงหาคมของทุกปี) ในช่วงเทศกาลนี้จะมีการจุดคบไฟขึ้นจำนวนมากบนภูเขาทั้ง 5 ลูกที่ล้อมรอบเกียวโต และชาวเมืองจะนำคบไฟทั้งหมดไปวางเรียงเป็นตัวอักษรอย่างสวยงาม

ด้วยความที่เป็นเมืองหลวงมาอย่างยาวนาน จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าที่เที่ยวเกียวโตนั้นมีเพียบ! แถมมีสถานที่ที่สวยเป็นพิเศษในแต่ละฤดูกาลอย่างครบครัน ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปดูว่าที่ไหนน่าไปโดน และของกินอะไรบ้างที่พลาดไม่ได้

สารบัญ

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดเกียวโต
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดเกียวโต

สถานที่ท่องเที่ยวประจำ ‘จังหวัดเกียวโต’

จังหวัดเกียวโต ตั้งอยู่บริเวณเกือบกึ่งกลางของเกาะฮอนชู มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสลับหุบเขา ทิศเหนือติดกับทะเลญี่ปุ่น ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดเฮียวโกะ ทิศใต้ติดกับจังหวัดโอซาก้าและจังหวัดนารา ทิศตะวันออกติดกับจังหวัดฟุกุอิ และมีภูเขาทัมบะพาดผ่านบริเวณกึ่งกลางของจังหวัด จึงทำให้ตอนเหนือกับตอนใต้ของจังหวัดเกียวโตมีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมาก

ผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดหรือบริเวณคาบสมุทรทังโกะนิยมประกอบอาชีพด้านการประมงหรือการขนส่งทางน้ำ ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่ตอนกลางของจังหวัดมักนิยมประกอบอาชีพเกษตรกรรม นอกจากนี้จังหวัดเกียวโตยังมีโบราณวัตถุมากมาย ชื่อเสียงด้านการทำผ้าไหมและผ้าแพรก็เป็นที่เลื่องลือเช่นกัน อีกทั้งยังโด่งดังเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวด้วย

เกียวโตเป็นจังหวัดที่เดินทางไปได้อย่างสะดวก หากโดยสารรถไฟชินคันเซ็นจะใช้เวลาเดินทางดังนี้

    • จากโตเกียว 2 ชั่วโมง 8 นาที
    • จากฮิโรชิม่า 1 ชั่วโมง 43 นาที

ส่วนใครที่มาจากโอซาก้า ถ้าเป็นรถไฟธรรมดาจะใช้เวลา 42 นาที ส่วนชินคันเซ็นใช้เวลาเพียง 13 นาที!

ส่วนการเดินทางในตัวเมืองเกียวโต ขอแนะนำตั๋วรถบัสรายวัน 600 เยน สามารถนั่งกี่รอบก็ได้

ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งในเกียวโตกันเลยนะครับ

แนวใบไม้เปลี่ยนสี

    1. วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)
    2. วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple)
    3. วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple)
    4. วัดเอคังโด (Eikando Temple)
    5. วัดคิโยมิสึและศาลเจ้าจิชู (Kiyomizu Temple and Jishu Shrine)
    6. ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ (Kitano Tenmangu Shrine)

1. วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)


วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple) หรือวัดทองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี 1994

เดิมทีวัดแห่งนี้เคยเป็นสถานที่พำนักของโชกุนอาชิคากะ โยชิมิสุ (Ashikaga Yoshimitsu) และจะใช้รับรองแขกคนสำคัญเท่านั้น ก่อนที่โชกุนคนดังกล่าวจะถึงแก่กรรมไป ได้มีการยกที่พักแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมของศาสนาพุทธนิกายเซน จนกลายเป็นวัดคินคะคุจิจนถึงปัจจุบัน

ด้วยสีทองเหลืองอร่ามของตัวอาคารหลักและความงดงามตระการตาของวัดคินคะคุจิ สถานที่แห่งนี้จึงเป็นต้นแบบของวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือวัดเงินในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังเป็นวัดในการ์ตูนเรื่องอิคิวซังด้วยนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto นั่งรถบัสสาย 101 หรือ 205 ไปลงที่ป้าย Kinkakujimichi (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
ที่อยู่
    • Kinkakuji, 1 Kinkakujicho, Kita Ward, Kyoto, 603-8361
    • โทร : 075-461-0013
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • 400 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

2. วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple)

วัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) หรือวัดเงินเป็นวัดอีกแห่งหนึ่งในนิกายเซนที่โชกุนอาชิคากะ โยชิมาสะ (Ashikaga Yoshimasa) เป็นผู้สร้างขึ้น นอกจากวัดแห่งนี้จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเกียวโตแล้ว ยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1994 จากองค์การยูเนสโกอีกด้วย

ส่วนชื่อที่เรียกกันว่าวัดเงินนั้น เป็นการตั้งให้พ้องไปกับวัดทองหรือที่เรารู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ‘วัดคินคะคุจิ (Kinkakuji Temple)’ โดยวัดทองเป็นต้นแบบในการสร้างวัดแห่งนี้ (ดูจากหน้าตาก็คงจะเดาได้ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะเหมือนเป๊ะซะขนาดนี้)

เดิมทีจุดประสงค์ของการสร้างวัดแห่งนี้คือ ใช้เป็นที่พำนักหลังเกษียณอายุของอาชิคากะ โยชิมาสะ แต่หลังจากที่โชกุนเสียชีวิตลง สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นวัดกินคะคุจิหรือวัดเงินอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

แต่ทุกคนคงเห็นจากรูปว่านี่มันวัดไม้ชัดๆ ไม่เห็นจะมีส่วนไหนที่เป็นเงินเลย

ขอตอบให้เลยละกันว่าความจริงแล้วโชกุนตั้งใจจะหุ้มวัดนี้ด้วยเงินเหมือนกัน แต่โชกุนกลับมาเสียชีวิตไปซะก่อน วัดกินคะคุจิจึงเป็นวัดไม้อย่างที่เห็น แต่เมื่อแสงจันทร์ยามค่ำคืนตกกระทบกับตัววัด เราก็จะเห็นวัดกินคะคุจิเป็นสีเงิน ดูสง่างามแม้ไม่ต้องหุ้มด้วยเงินเลยทีเดียว

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto นั่งรถบัสสาย 17 ไปลงที่ป้าย Ginkakuji-michi  (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 8 นาที (ถ้าใครอยากเดินจากถนนสายนักปราชญ์ก็ได้เช่นกัน ใช้เวลารวมราวๆ 15 นาที)
ที่อยู่
    • Ginkakuji, 2 Ginkakujicho, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8402
    • โทร : 075-771-5725
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30 – 17:00 น. (หรือ 9:00 – 16:30 น. ในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์)
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชม 500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

3. วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple)

วัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple) สร้างขึ้นในปี 1236 เป็นวัดนิกายเซนขนาดใหญ่ใน ‘จังหวัดเกียวโต’ ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแง่ของจุดชมใบไม้เปลี่ยนสี

ที่มาของชื่อวัดแห่งนี้มาจากการนำชื่อของวัด Todaiji และวัด Kofukuji ที่จังหวัดนารามารวมกัน โดยนำตัวอักษร ‘東’ (อ่านว่าโท แปลว่าตะวันออก) ของวัดโทไดจิ (東大寺 / Todaiji) และ ‘福’ (อ่านว่าฟุคุ แปลว่าโชคลาภ) ของวัดโคฟุคุจิ (興福寺 / Kofukuji) มารวมกัน

แต่เดิมวัดโทฟุคุจิก่อตั้งขึ้นจากการเปิดสำนักสงฆ์โดยพระภิกษุเอ็นนิ เบ็นเอ็น (円爾弁円 / ENNI Ben-en) โดยคำสั่งของตระกูลฟูจิวาระ และมีจุดประสงค์เพื่อเปิดเป็นวัดประจำตระกูลคุโจ (九條) โดยคุโจ มิจิอิเอะ (九條道家 / KUJO Michiei) ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในเวลานั้น

สำหรับจุดถ่ายรูปที่สวยที่สุด เห็นจะเป็นที่สะพานซึเทนเคียว (Tsutenkyo Bridge) เพราะมีใบไม้สีแดงสลับเหลืองของต้นเมเปิลปกคลุมไปถึง 100 เมตรตามความยาวของสะพาน เรียกได้ว่าเหมือนได้อยู่ในทะเลของใบเมเปิลเลยทีเดียว

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดโทฟุคุจิ (Tofukuji Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto ให้นั่งรถบัสสาย 88 หรือ 208 ไปลงที่ป้าย  Tofukuji (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 5 นาที
    • นอกจากนี้ ยังสามารถนั่งรถไฟ JR สาย Nara ไปลงที่สถานี Tofukuji (ใช้เวลา 2 นาที ค่าโดยสาร 150 เยน) แล้วเดินต่ออีก 2 นาทีได้ (เหมาะกับผู้ใช้ JR pass) สำหรับผู้ใช้ Kansai thru pass ให้นั่งรถไฟสาย Keihan
ที่อยู่
    • Tofukuji Temple, 15 Chome-778 Honmachi, Higashiyama Ward, Kyoto, 605-0981
    • โทร : 075-561-0087
เวลาทำการ
    • เดือนเมษายน – เดือนตุลาคม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 16:30 น. 
    • เดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนธันวาคม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30 – 16:30 น.
    • ต้นเดือนธันวาคม – เดือนมีนาคม : เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชมสวน 400 เยน
    • ค่าเข้าชมอาคารด้านใน 400 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

4. วัดเอคังโด (Eikando Temple)

วัดเอคังโด (永観堂 : Eikando Temple) หรือชื่อเต็มคือ ‘วัดเอคังโด เซ็นรินจิ’ (Eikando Zenrin-Ji Temple) เป็นวัดพุทธมหายานนิกายโจโดที่มีชื่อเสียงอย่างมากในแง่ของจุดชมใบไม้เปลี่ยนสี

ในปี 853 ซึ่งตรงกับยุคเฮอัน ได้มีการสร้างสถานปฏิบัติธรรม ณ ตำแหน่งเดียวกันกับวัดเอคังโดในปัจจุบัน ต่อมาจักรพรรดิเซวะ (Emperor Seiwa) ได้อนุญาตให้ก่อตั้งวัดเซ็นรินจิ (Zenrin-ji) ขึ้น โดยวัดแห่งนี้เป็นวัดในพุทธนิกายชินกอน เมื่อเวลาผ่านไปได้มีเจ้าอาวาสท่านหนึ่งที่ได้รับการเลื่อมใสจากชาวบ้านเป็นจำนวนมาก นามว่าเอคัง (Eikan) ตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมาก็มีการเรียกชื่อวัดนี้ว่าวัดเอคังโด (Eikando)

และในช่วงศตวรรษที่ 13 เจ้าอาวาสก็ได้เปลี่ยนวัดนี้จากพุทธนิกายชินกอนเป็นวัดพุทธนิกายโจโด

ในช่วงปี 1467 – 1469 ได้เกิดสงครามโอนินขึ้น ผลกระทบจากสงครามครั้งนี้คือตัวอาคารวัดเกิดความเสียหายอย่างมาก เมื่อสงครามสิ้นสุดลง จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมและสร้างอาคารต่างๆในวัดขึ้นมากมายดังที่เห็นในปัจจุบัน

สำหรับจุดที่สวยที่สุดของวัดเอคังโดคือ เจดีย์ทาโฮโต (Tahoto Pagoda) ที่สร้างขึ้นในปี 1928 มีลักษณะเป็นเจดีย์ 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนินเขาและเป็นจุดที่ตั้งอยู่บริเวณสูงสุดของวัด นอกจากเจดีย์นี้จะเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของวัดแล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถขึ้นไปยังเจดีย์เพื่อชมทัศนียภาพของเมืองเกียวโตในมุมสูงได้ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเอคังโด (Eikando Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto ให้นั่งรถบัสสาย 5 ไปลงที่ป้าย Nanzenji-Eikando-michi (ใช้เวลา 35 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 5 นาที
ที่อยู่
    • Eikando, 48 Eikandocho, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8445
    • โทร : 075-761-0007
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น. ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง มีการจัดแสดงไฟกลางคืนช่วงเวลาประมาณ 18.00 – 21.00 น.
ค่าเข้าชม
    • มีค่าเข้าชม 600 เยน
    • ค่าเข้าชมการจัดแสดงไฟ 600 เยน (แยกต่างหากจากเวลาปกติ)
เว็บไซต์

Back To Index

5. วัดคิโยมิสึและศาลเจ้าจิชู (Kiyomizu Temple and Jishu Shrine)

วัดคิโยมิสึ หรือที่เรียกติดปากกันว่า ‘วัดน้ำใส’ (และชื่อวัดก็แปลแบบนี้เลย) เป็นวัดพุทธสายฮตโซที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และน่าจะเป็นวัดที่ดังที่สุดในญี่ปุ่นแล้วล่ะ! วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 780

ที่มาของชื่อวัดมาจากบริเวณวัดที่สร้างขึ้นตรงน้ำตกโอโตวะหรือน้ำตกศักดิ์สิทธิ์ที่มีน้ำบริสุทธิ์ ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่นนั้น ว่ากันว่าหากได้ดื่มน้ำจากน้ำตกโอโตวะแล้วจะทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิต 3 เรื่อง คือ ความรัก การเรียน และการมีชีวิตยืนยาว

จุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘อาคารหลักของวัดที่ตั้งอยู่เหนือแนวต้นไม้’ และที่เราเห็นเหมือนกับว่าตัวอาคารลอยอยู่บนอากาศ เพราะอาคารนี้สร้างแบบญี่ปุ่นโบราณ กล่าวคือเป็นวิธีสร้างอาคารที่อาศัยการล็อกข้อต่อไม้ และจะไม่มีการใช้ตะปูในโครงสร้างอาคารเลย

สำหรับสถาปัตยกรรมที่ก่อสร้างแบบญี่ปุ่นโบราณนั้น นอกจากวัดน้ำใสแล้วก็ยังมี ‘ศาลเจ้าอิเสะ’ อีกที่หนึ่งด้วย

อ่านเรื่องของศาลเจ้าอิเสะได้ที่นี่ > ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingu) ที่สถิตของสุริยเทวีอามาเทราสึ

 

ส่วนความสวยงามอลังการของสถานที่แห่งนี้นั้น แม้ไม่บรรยายทุกคนก็คงจะรับรู้กันดีแล้ว แต่อยากแนะนำให้ลองเปลี่ยนบรรยากาศมาเที่ยวตอนกลางคืนดูบ้าง เพราะสวยงามไม่แพ้กับตอนกลางวันเลยทีเดียว

และโซนย่อยอีกโซนหนึ่งที่ต้องไปในวัดน้ำใสก็คือ ศาลเจ้าจิชู ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโอคุนินูชิ หรือ เทพเจ้าแห่งสายสัมพันธ์และความรักของศาสนาชินโต ทำให้ศาลเจ้าจิชูเป็นที่นิยมของผู้ที่มาสักการะเพื่อขอให้มีความรักและความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แค่ความรักของคนหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความสัมพันธ์ในเชิงมิตรภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรากับเหล่าผองเพื่อน หรือเจ้านายกับลูกน้อง

ที่พลาดไม่ได้อย่างแรงคือ หินเสี่ยงทายรัก ที่มีเสียงเล่าลือมาตั้งแต่สมัยเอโดะว่าใครก็ตามที่มาเสี่ยงทายความรักกับหิน 2 ก้อนนี้ ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง จะประสบกับความรักที่สมหวัง

ส่วนวิธีการที่ว่าก็ไม่มีอะไรมาก เราแค่ต้องหลับตาเดินจากก้อนหินฝั่งเริ่มต้นไปจนถึงหินก้อนที่อยู่ปลายทาง ขอย้ำเลยว่าห้ามแอบปรือตามองทางเด็ดขาดเลยนะ เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วจะพาพรไม่สมหวังเอา

ทั้งนี้เราสามารถให้เพื่อนช่วยบอกทางได้ แต่จะมีผลต่อคำทำนายคือ ถ้าเราเดินไปถึงหินปลายทางได้ในครั้งแรกครั้งเดียว ความรักของเราจะไม่มีอุปสรรคและสมหวังได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเราต้องให้เพื่อนช่วยบอกทาง ความรักของเราก็สมหวังแหละ แต่ต้องให้เพื่อนเป็นคนชง และถ้าเราต้องเดินหลายครั้งแต่สุดท้ายก็เดินถึงหินปลายทาง แสดงว่าความรักครั้งนี้จะสมหวังเมื่อเราพยายาม และถ้าเดินยังไงก็ไปไม่ถึงสักที อันนี้อาจจะต้องตัดใจแล้วล่ะ ถ้าไม่อยากยอมแพ้ก็ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เยอะหน่อยนะ

อ่านข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับวัดคิโยมิสึได้ที่นี่ > Must See Place! ชมวัดน้ำใส Kiyomizu และพื้นที่โดยรอบ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดคิโยมิสึและศาลเจ้าจิชู (Kiyomizu Temple and Jishu Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 12 นาที
ที่อยู่
    • Kiyomizudera, 1-294, Kiyomizu, Higashiyama-ku, Kyoto-shi, Kyoto, 605-0862, Japan
    • โทร : 075-551-1234
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 – 18:00 น. (ปิดทำการเวลา 18:30 น. สำหรับวันธรรมดาและวันหยุดนักขัตฤกษ์ในช่วงเดือนกลางเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม และทุกวันในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน)
    • สำหรับการเปิดไฟช่วงกลางคืน จะเปิดเวลา 18:00 – 21:00 น. ในช่วงเวลาดังต่อไปนี้ ฤดูใบไม้ผลิจะเปิดไฟในวันที่ 3 – 17 มีนาคม และวันที่ 29 มีนาคม – 7 เมษายน ฤดูร้อนเปิดไฟวันที่ 14 – 16 สิงหาคม ฤดูใบไม้ร่วงเปิดไฟวันที่ 16 พฤศจิกายน – 1 ธันวาคม
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชมเวลาปกติ  400 เยน
    • ค่าเข้าชมช่วงเปิดไฟ 400 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

6. ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ (Kitano Tenmangu)

ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ เป็นศาลเจ้าสายเทนมังกุที่สำคัญเคียงคู่กับดาไซฟุเทนมังกุของฟุกุโอกะ และยังเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าใหญ่ของเกียวโต ร่วมกับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริและศาลเจ้ายาซากะ

แต่เดิมศาลเจ้านี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ดวงวิญญาณของ ‘สุกาวาระ มิจิซาเนะ’ นักการเมืองและนักปราชญ์ที่มีความสามารถ แต่กลับโดนกลั่นแกล้งทางการเมืองจนถูกเนรเทศไปอยู่ดาไซฟุ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจจบชีวิตลงที่นั่น และหลังจากที่มิจิซาเนะสิ้นชีพไป ก็ได้เกิดมหาภัยพิบัติและโรคระบาดต่างๆขึ้นมากมาย ทำให้ผู้คนเชื่อกันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความโกรธแค้นของดวงวิญญาณมิจิซาเนะ

ต่อมาในปี 947 จึงได้มีการสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อให้ดวงวิญญาณมิจิซาเนะสงบลง

เพราะในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ มิจิซาเนะเป็นนักปราชญ์ที่เก่งกาจ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นเทพแห่งการศึกษา (เทนจิน) ด้วยเหตุนี้ศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุจึงกลายเป็นศาลเจ้าแห่งการเรียนนั่นเอง

และนอกจากจะเป็น power spot ชื่อดังด้านการเรียนแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงมากเรื่องธรรมชาติที่สวยงามในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ดอกบ๊วยบานสะพรั่ง

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุ (Kitano Tenmangu)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 50 หรือ 101 ไปลงที่ป้าย Kitanotenmangu mae ใช้เวลา 30 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 1 นาที
ที่อยู่
    • Kitano Tenmangu, Bakurocho, Kyogyo-ku, Kyoto, Kyoto 602-8386, Japan
    • โทร : 075-461-0005
    • แฟ็กซ์ : 075-461-6556
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดทำการทุกวัน เวลา 5:00 – 18:00 น. (เดือนเมษายนถึงกันยายน) และเวลา 5:30 – 17:30 น. (เดือนเมษายนถึงกันยายน)
    • สวนดอกบ๊วย เปิดให้เข้าชมช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม เปิดทำการ เวลา 9:00 – 16:00 น.
    • สวนเมเปิลเปิดให้เข้าชมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เปิดทำการ เวลา 9:00 – 20:00 น. (มีเปิดไฟตอนกลางคืน)
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชมสำหรับการเข้าไปสักการะ
    • ค่าเข้าชมสวนดอกบ๊วย 800 เยน
    • ค่าเข้าชมสวนเมเปิล 1000 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

ซากุระบานสะพรั่ง

    1. ถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)
    2. ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)

1. ถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)

ถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path) สร้างขึ้นในปี 1890 สถานที่แห่งนี้เป็นทางเดินเท้าเล็กๆยาว 2 กิโลเมตร ยาวเลียบไปตามคลองส่งน้ำบิวะที่ส่งน้ำมาจากทะเลสาบบิวาโกะ

ถนนสายนี้มีจุดเริ่มต้นจากบริเวณหน้าวัดกินคะคุจิ (Ginkakuji Temple) ไปจนถึงหน้าวัดนันเซ็นจิ ส่วนที่มาของชื่อ ‘ถนนสายนักปราชญ์’ นั้นได้มาจากในอดีตที่ ‘นิชิดะ คิตาโระ’ (Nishida Kitaro) นักปราชญ์ชื่อดังในยุคเมจิ – ยุคโชวะมักจะมาเดินที่นี่เพื่อให้ตนมีสมาธิและสงบจิตใจไปในเวลาเดียวกัน พอชาวบ้านละแวกนี้เห็นว่าคิตาโระเดินผ่านอยู่เป็นประจำ สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นถนนสายนักปราชญ์จนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ถนนสายนักปราญช์ยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมดอกซากุระที่สวยงามมากๆในจังหวัดเกียวโต

อ่านเรื่องถนนสายนักปราชญ์เพิ่มเติมได้ที่นี่ > ตามรอยนักปราชญ์ชมซากุระที่ถนนสายนักปราชญ์

ข้อมูลเกี่ยวกับถนนสายนักปราชญ์ (Philosopher’s Path)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานีรถไฟ Kyoto นั่งรถบัสสาย 17 ไปลงที่ป้าย Jodoji (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) แล้วเดินอีก 6 นาที
ที่อยู่
    • The Philosopher’s Path (哲学の道, Tetsugaku no Michi), Shishigatani Honenin Nishimachi, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8427
วันเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม

Back To Index

2. ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)

ศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine) เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบรอบปี 1,100 ของเมืองเกียวโต และเพื่อระลึกถึงจักรพรรดิคามมุ (Emperor Kammu) และจักรพรรดิโคเมอิ (Emperor Komei) ซึ่งทั้งสองเป็นจักรพรรดิคนแรกและคนสุดท้ายของเกียวโต

แน่นอนว่าจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือประตูโทริอิยักษ์สีแดงที่ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด นอกจากนี้ศาลเจ้าเฮอันยังสร้างขึ้นโดยใช้แบบจำลองของพระราชวังในสมัยเฮอัน โดยมีขนาดย่อส่วน 5:8 จากของจริง

นอกจากนี้สีแดงสดของเสาที่ตัดกับหลังคาสีเขียวมรกตเข้มยังให้ความสดใสแก่ผู้ที่พบเห็นอีกด้วย

หากมายังสถานที่แห่งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เราอยากให้ทุกคนได้เดินไปทางสวนด้านหลังศาลเจ้า เพราะนั่นเป็นจุดชมดอกซากุระที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกียวโตเลยทีเดียว

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าเฮอัน (Heian Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 5 หรือสาย 100 ไปลงที่ป้าย Okazaki Koen [Bijutsukan] ใช้เวลา 26 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 1 นาที
ที่อยู่
    • Heian Shrine, Okazaki Nishitennocho, Sakyo Ward, Kyoto, 606-8341
    • โทร : 075-761-0221
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ส่วนของศาลเจ้าไม่มีค่าเข้าชม
    • ส่วนของสวนมีค่าเข้าชม 600 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

สวยในทุกฤดูกาล

    1. ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine)
    2. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimiinari Shrine)
    3. ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)
    4. ศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo Shrine)
    5. ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)
    6. วัดเคนนินจิ (Kenninji Castle)
    7. ปราสาทนิโจ (Nijo Temple)
    8. อาราชิยามะ (Arashiyama)
    9. อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)
    10. หมู่บ้านอิเนะ (Ine Village)
    11. วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)

1. ศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine)

https://koyo.walkerplus.com

ศาลเจ้าคิฟุเนะ เป็นศาลเจ้าที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งสายน้ำ ความรักและการแต่งงาน สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บนเขาทางตอนเหนือของจังหวัดเกียวโต และเป็นศาลเจ้าชินโตที่มีอายุถึง 1,300 ปี !

ชื่อเสียงของศาลเจ้านี้มาจากตำนานที่เล่าต่อๆกันมาว่า มีกวีเอกหญิงในยุคเฮอันคนหนึ่งนามว่าอิสุมิ ชิคิบุได้เดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากนั้นเธอยังขอพรในเรื่องความรักกับศาลเจ้าคิฟุเนะอีกด้วย (แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสมหวังหรือเปล่า แต่นี่ว่าคงสมหวังเพราะสุดท้ายศาลเจ้าคิฟุเนะก็ดังขึ้นมาไง 555)

นอกจากตำนานความศักด์สิทธิ์ต่างๆแล้ว ศาลเจ้าคิฟุเนะยังมีชื่อเสียงในเรื่องความสวยงามของบันไดโคมไฟที่เปิดในช่วงกลางคืน ซึ่งแต่ละฤดูกาลก็จะมีความงามที่แตกต่างกันไป

ส่วนเรื่องความสวยงามนั้น บอกได้เลยว่าศาลเจ้าคิฟุเนะก็ไม่เป็นสองรองใคร พอเข้าสู่ช่วงกลางคืนเราจะได้ชมความงามของบันไดโคมไฟ ซึ่งแต่ละฤดูกาลจะมีความสวยงามแตกต่างกัน อีกทั้งยังสามารถเพลิดเพลินกับอาหารท้องถิ่นแสนอร่อยท่ามกลางสายลมที่พัดเอื่อยๆได้ด้วยนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคิฟุเนะ (Kifune Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 17 ไปลงที่สถานี Demachi-Yanagi ใช้เวลา 25 นาที จากนั้นนั่งรถไฟไปลงที่ Kibune guchi (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 430 เยน) แล้วนั่งรถบัส (ใช้เวลา 5 นาที ค่าโดยสาร  170 เยน) แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
    • Kifune Shrine, 180, Kurama-Kifunecho, Sakyo-ku, Kyoto, Kyoto 601-1112
    • โทร : 075-741-2016
วันเวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 6:00 – 20:00 น. (เดือนธันวาคมถึงเมษายน เปิดถึง 18:00 น.)
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

2. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimiinari Shrine)

ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ เป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าใหญ่ของเกียวโต ร่วมกับศาลคิตาโนะเทนมังกุและศาลเจ้ายาซากะ อีกทั้งยังเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาศาลเจ้าสายอินาริ หรือศาลที่มีไว้เพื่อบูชาเทพอินาริซึ่งเป็นเทพแห่งการเกษตร ที่สำคัญคือศาลเจ้าฟูชิมิอินาริมีมาตั้งแต่เกียวโตยังเป็นวุ้นอยู่เลย เพราะสร้างเสร็จในปี 794 ที่นี่จึงถือว่าเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของเกียวโต

ผู้คนส่วนมากที่มาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากจะมาขอพรเรื่องการเงินแล้ว ก็ยังมาเพราะเสาประตูโทริอิสีแดงสดที่ตั้งเรียงรายตามทางขึ้นศาลเจ้าเป็นพันเสา! ชาวญี่ปุ่นเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า ‘เซ็มบงโทริอิ’ (Senbon Torii) หรือประตูโทริอิพันเสา (thousands of torii gates)

สาเหตุที่มีประตูโทริอิมากมายขนาดนี้เป็นเพราะว่ามีบุคคลหรือองค์กรต่างๆร่วมบริจาคเงินในการก่อสร้าง โดยนามของผู้บริจาคและวันที่บริจาคจะถูกสลักลงไว้ที่ด้านหลังของเสาแต่ละต้น สำหรับรายละเอียดในการบริจาคนั้นก็จะมีตั้งแต่เสาต้นเล็กที่มีมูลค่าสี่แสนเยน ไปจนถึงเสาต้นใหญ่ที่มีมูลค่ามากกว่าล้านเยนเลยทีเดียว

อ่านเรื่องศาลเจ้าฟูชิมิอินาริเพิ่มเติม > ไหว้ท่านเทพจิ้งจอก&เทพแห่งน้ำที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ ศาลเจ้าชิโมกาโมะ และศาลเจ้าคามิกาโมะ

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (Fushimiinari Shrine)

วิธีเดินทาง
    • โดยรถบัส : หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 5 minami ไปลงที่ป้าย Fushimiinaritaisha mae โดยใช้เวลา 10 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 7 นาที
    • โดยรถไฟ : จากสถานี  Kyoto นั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Fushimi-inari (ใช้เวลา 5นาที ค่าโดยสาร 120 เยน) แล้วเดินอีก 2 นาที
ที่อยู่
    • Fushimi Inari Taisha, 68 Fukakusa Minanouchi-cho, Fushimi-ku, Kyoto 612-0882, Kyoto Prefecture
    • โทร : 075-641-7331
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดให้มาไหว้สักการะทุกวันและเข้าได้ตลอดเวลา ส่วนสำนักงานศาลเจ้าเปิดทำการทุกวัน เวลา 7:00 – 18:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

3. ศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)

ศาลเจ้าชิโมกาโมะเป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในลัทธิชินโต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเกียวโต นอกจากจะเป็นหนึ่งในศาลเจ้าพี่น้องกับศาลเจ้าคามิกาโมะแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็น 1 ใน 17 แหล่งมรดกโลกของเกียวโตอีกด้วย

คำว่า ‘ชิโมกาโมะ’ หมายถึง ‘คาโมะเบื้องล่าง’ เป็นชื่อที่เรียกตามสถานที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของจุดที่ไหลมาบรรจบกันของแม่นํ้าทาคาโนะและแม่น้ำคาโมะ

สำหรับความเป็นมาของศาลเจ้าชิโมกาโมะนั้น ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเทมมู หรือช่วงปี 675 – 686 เพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือเทพยาตะการาสุ (Kamo Taketsunuminomikoto) เทพทามะโยริฮิเมะ (Tamayori-hime) และเทพคามิมุสึบิ (Kamimusubi)

Various images / Shutterstock

เนื่องจากสถานที่แห่งนี้บูชาเทพเจ้าแห่งความรักถึง 2 องค์ด้วยกันคือ เทพทามะโยริฮิเมะ (Tamayori-hime) กับเทพคามิมุสึบิ (Kamimusubi) ที่นี่จึงมีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะ power spot ด้านความรัก

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าชิโมกาโมะ (Shimogamo Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 4 หรือสาย 5 ไปลงที่ป้าย Shimogamojinja mae โดยใช้เวลา 25 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 2 นาที
ที่อยู่
    • Shimogamo Shrine, 59 Shimogamo Izumikawacho, Sakyo-ku, Kyoto, Kyoto 606-0807, Japan
    • โทร : 075-781-0010
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดให้มาไหว้สักการะทุกวัน เวลา 6:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

4. ศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo Shrine)

ศาลเจ้าคามิกาโมะเป็นศาลเจ้าที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในลัทธิชินโต ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเกียวโต นอกจากจะเป็นหนึ่งในศาลเจ้าพี่น้องกับศาลเจ้าชิโมะกาโมะแล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็น 1 ใน 17 แหล่งมรดกโลกของเกียวโตอีกด้วย

คามิกาโมะ หมายถึง ‘คาโมะเบื้องบน’ เป็นชื่อที่เรียกตามสถานที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของจุดที่ไหลมาบรรจบกันของแม่น้ำคาโมะ

เชื่อกันว่าศาลเจ้าคามิกาโมะสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเทมมูช่วงปี 675 – 686 เพื่อบูชาแด่เทพคาโมะวาเกะ อิกะสึจิ (Kamo Wake-Ikazuchi) ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งไฟและเทพชัยชนะ เพราะชาวญี่ปุ่นเองมีความเชื่อมาแต่โบราณกาลว่าแม่น้ำคาโมะที่ไหลมาจากทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือนั้นเปรียบเสมือนการนำเหล่าปีศาจเข้าสู่เมือง และเทพคาโมะวาเกะ อิกะสึจินี่แหละที่เป็นผู้ปัดเป่าความชั่วร้ายและปกป้องประชาชนจากปีศาจทั้งปวง

ในปัจจุบัน ผู้คนที่นิยมมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้จึงมักจะมาขอพรให้ชนะอุปสรรคต่างๆ หรือมาแก้ชงกันนั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าคามิกาโมะ (Kamigamo Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 4 หรือสาย 5 ไปลงที่ป้าย Kamigamojinja mae ใช้เวลา 35 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 2 นาที
ที่อยู่
    • Kamigamo Shrine, 339 Kamigamomotoyama, Kita-ku, Kyoto, Kyoto 603-8047, Japan
    • โทร : 075-781-0011
วันเวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดให้มาไหว้สักการะทุกวัน เวลา 5:30 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

5. ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)

Milan Rademakers / Shutterstock

ศาลเจ้ายาซากะ หรือที่รู้จักกันในชื่อหนึ่งว่า ‘ศาลเจ้ากิอง’ ตั้งอยู่ระหว่างย่านกิองกับย่านฮิกาชิยามะ นับเป็นศาลเจ้าเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากในเกียวโต และเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าใหญ่ในเกียวโต ร่วมกับศาลเจ้าคิตาโนะเทนมังกุและศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ

นอกจากจะสวยเด่นเป็นศรีเกียวโตแล้ว ความขลังของศาลเจ้ากิองแห่งนี้ก็ไม่แพ้ศาลเจ้าใดๆในญี่ปุ่น เพราะที่นี่เป็น power spot แบบสารพัดนึก สามารถขอพรได้ทุกเรื่อง อยากขออะไรก็ขอโลดเด้อ

อ่านเรื่องศาลเจ้ายาซากะเพิ่มเติมได้ที่ > สัมผัสเสน่ห์เมืองเก่าย่านกิอง ถ่ายรูปไม่ได้ไม่เป็นไร ทัวร์ศาลเจ้าสุดยิ่งใหญ่ในเกียวโตแทนก็ได้

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 100 หรือ 206 ไปลงที่ป้าย Gion โดยใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที
    • นอกจากนี้สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Gion Shijo หรือสถานี Kawaramachi ได้เช่นกัน
ที่อยู่
    • Yasaka Shrine, 25, Gion-cho, Higashiyama-ku, Kyoto 605-0073, Kyoto
    • โทร : 075-561-6155
    • แฟ็กซ์ : 075-531-1126
เวลาทำการ
    • ศาลเจ้าเปิดให้เข้าไหว้สักการะทุกวัน และเข้าได้ตลอดเวลา
    • สำนักงานศาลเจ้าเปิดทำการทุกวัน เวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

6. วัดเคนนินจิ (Kenninji Temple)

วัดเคนนินจิ เป็นวัดพุทธนิกายเซนสายรินไซที่เก่าแก่ที่สุดในเกียวโต ก่อตั้งขึ้นโดยหลวงพ่อเอไซในปี 1202

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของวัดนี้เห็นจะเป็นงานศิลปะภาพวาดมังกรที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ต้องเจอ โดยเฉพาะเพดานของโถงหลัก

นอกจากนี้วัดเคนนินจิยังมีสวนหินแบบเซนที่ใหญ่และสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งอีกด้วย

Back To Index

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเคนนินจิ (Kenninji Temple)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 206 ไปลงที่ป้าย Kiyomizu Michi ใช้เวลา 23 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 3 นาที
ที่อยู่
    • Kenninji Temple, 584 Komatsucho, Higashiyama-ku, Kyoto, Kyoto 605-0811
    • โทร : 075-561-0190
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลา 10:00 – 17:00 น. (ช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์เปิดถึง 16:30 น.)
    • มีวันหยุดประจำปีคือวันที่ 28 – 31 ธันวาคม
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชม 500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

7. ปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

ปราสาทนิโจ (二条城, Nijo-Jo) สร้างขึ้นในปี 1603 เพื่อเป็นที่พักของโชกุน ‘โทคุกาวะ อิเอยาสึ’ (Tokugawa Ieyasu) ต่อมาอิเอมิตสึ (Iemitsu) ผู้เป็นหลานได้สานต่อการสร้างปราสาทจนแล้วเสร็จในอีก 23 ปีให้หลัง นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ก่อสร้างเพิ่มเติมคือหอปราสาทห้าชั้น

หลังจากการล่มสลายของโชกุนและเข้าสู่ช่วงปฏิรูปเมจิในปี 1867 ปราสาทนิโจกลายเป็นพระราชวังของจักรพรรดิและราชวงศ์อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ภายหลังได้อยู่ภายใต้การดูแลของเทศบาลเมือง เพราะจักรพรรดิได้ย้ายไปประทับที่เอโดะแทน

Abhijeet Khedgikar / Shutterstock

นอกจากจะเปิดเป็นสถานที่เชิงประวัติศาสตร์ให้ประชาชนเข้าชมแล้ว ตัวอาคารของวังในปราสาทนิโจก็นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของสถาปัตยกรรมปราสาทในยุคศักดินาของญี่ปุ่นที่ยังคงหลงเหลือในปัจจุบัน และในปี 1994 ปราสาทนิโจก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกที่สำคัญยิ่งจากยูเนสโก

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทนิโจ (Nijo Castle)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 9 ไปลงที่ป้าย Horikawa Oike โดยใช้เวลา 14 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 2 นาที
ที่อยู่
    • Nijō Castle, 541 Nijojocho, Nakagyo Ward, Kyoto, 604-8301
    • โทร : 075-841-0096
    • แฟ็กซ์ : 075-802-6181
เวลาทำการ
    • เดือนตุลาคม – มิถุนายน : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:45 – 17:00 น.
    • เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:00 – 18:00 น.
    • เดือนกันยายน : เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 8:00 – 17:00 น.
    • หยุดทำการในวันที่ 29 – 31 ธันวาคม
ค่าเข้าชม
    • ค่าเข้าชม 620 เยน และส่วน Ninomaru อีก 410 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

8. อาราชิยามะ (Arashiyama)

อาราชิยามะ (Arashiyama) หรือภูเขาพายุ ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองฝั่งทิศตะวันตกของจังหวัดเกียวโต โดยห่างจากตัวเมืองหลักไปประมาณ 30 นาที

พื้นที่แห่งนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอนุสรณ์สถานของประเทศที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องราวมากมาย เพราะอันที่จริงแล้วอาราชิยามะนั้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 9 ด้วยธรรมชาติที่สวยงามและความร่มรื่นของสถานที่แห่งนี้ทำให้เหล่าขุนนางมักจะมาพักผ่อนหย่อนใจที่นี่ และความนิยมนี้ก็พุ่งทะยานผ่านกาลเวลายาวนานยันปัจจุบันเลยทีเดียว

สำหรับจุดที่น่าไปเมื่อได้มาเยือน ณ อาราชิยามะแห่งนี้ คือการชมวิวของหุบเขาบนสะพานโทเก็ทสึเคียวที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยเฮอัน สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดเท็นริวจิ หรือจะไปปั่นจักรยานในป่าไผ่ก็ดีนะ

ข้อมูลเกี่ยวกับอาราชิยามะ (Arashiyama)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถไฟ JR สาย Sagano จากสถานี Kyoto (ใช้เวลา 15 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) (เหมาะกับคนมี JR Pass)
    • นั่งรถไฟสาย Hankyu จากสถานี Kawaramachio (ใข้เวลา 20 นาที ค่าโดยสาร 230 เยน) (เหมาะกับคนมี Kansai Thru Pass)
    • นั่งรถบัส (20 – 25 นาที แต่เวลาจะไม่แน่นอนเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับการจราจร) (เหมาะกับตั๋วรถบัสรายวัน)
ที่อยู่
    • Togetsukyo Bridge, Saganakanoshimacho, Ukyo Ward, Kyoto, 616-8383
    • Tenryuji, 68 Susukinobaba-cho, Saga-Tenryuji, Ukyo-ku, Kyoto-shi, 616-8385 Japan
    • โทร : (075) 881-1235
    • แฟ็กซ์ : (075) 864-2424
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
ค่าเข้าชม
    • วัด Tenryuji ค่าเข้าชม 500 เยน
    • หากต้องการเข้าชมภายในวัด มีค่าเข้าชมเพิ่มเติมอีก 300 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

9. อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)

อามาโนะฮาชิดาเตะ (天橋立 / Amanohashidate) เป็นหนึ่งในจุดชมวิวที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น (日本三景 / Nihon Sankei) ร่วมกับมิยาจิมะ (Miyajima) ในจังหวัดฮิโรชิม่า และมัตสึชิมะ (Matsushima) ในจังหวัดมิยากิ

อ่านเรื่องของเกาะมิยาจิมะได้ที่นี่ > ชมหนึ่งในสามวิวที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นที่ ‘เกาะมิยาจิมะ’
อ่านเรื่องของมัตสึชิมะได้ที่นี่ > นั่งเรือชมอ่าวมัตสึชิมะ 1 ใน 3 วิวที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น & เดินเล่นบนเกาะโดยรอบ

 

คำว่า ‘อามาโนะฮาชิดาเตะ’ แปลว่า ‘สะพานสู่แดนสวรรค์’ เพราะสะพานแห่งนี้สร้างจากธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยเกิดจากแนวสันทรายที่ทอดตัวอยู่กลางอ่าวมิยาซุเป็นแนวยาว 3.6 กิโลเมตร เชื่อมแผ่นดินของเกาะทั้งสองไว้ด้วยกัน

นอกจากนี้ยังมีตำนานเล่ากันว่า มีเทวดาแห่งดินแดนสรวงสรรค์ได้หลงรักเทพธิดาองค์หนึ่งที่อาศัยในโลกมนุษย์ จึงสร้างสะพานที่ทอดตัวยาวลงมายังโลกมนุษย์เพื่อจะมาพบกับเทพธิดา แต่สะพานที่ว่ากลับพังลงมากลายเป็นหาดทรายสีขาวสะอาดพาดผ่านทะเล ซึ่งก็คืออามาโนะฮาชิดาเตะนั่นเอง

เมื่อเราไปยังจุดชมวิวก็จะเห็นความสวยงามของอามาโนะฮาชิดาเตะที่ราวกับเป็นสะพานสู่ดินแดนสวรรค์จริงๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับอามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)

วิธีเดินทาง
ที่อยู่
    • Amanohashidate, Monju, Miyazu, Kyoto 626-0001
    • โทร : 0772-22-8030
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวันและตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

10. หมู่บ้านอิเนะ (Ine Village)

หมู่บ้านอิเนะ เป็นเมืองเล็กๆที่เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนของชาวท้องถิ่นที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น หมู่บ้านนี้ทอดตัวไปตามแนวยาวของอ่าวอิเนะ (Ine Bay) และตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของ ‘จังหวัดเกียวโต’

ลักษณะของบ้านแต่หลังจะมีชั้นล่างเป็นอู่เก็บเรือ ส่วนชั้นบนเป็นห้องรับรองอเนกประสงค์ ลักษณะของการสร้างบ้านที่เป็นเอกลักษณ์แบบนี้เรียกว่า ‘ฟุนายะ’ หรือสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกต่อการนำเรือออกไปหาปลา ด้วยเหตุนี้เอง อิเนะจึงเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในด้านอุตสาหกรรมประมงมาตั้งแต่อดีต

ส่วนบ้านที่ผู้คนใช้อาศัยจริงๆ จะอยู่สร้างบนบกโดยมีถนนสายเล็กทอดตัวผ่านบ้านที่มีมากกว่า 200 หลังคา และแน่นอนว่าบ้านแต่ละหลังก็คงความเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ ว่ากันว่าเพียงมายังสถานที่แห่งนี้ในฤดูกาลที่แตกต่าง ก็จะได้เห็นเสน่ห์ที่แตกต่างของหมู่บ้านอิเนะด้วย

นักท่องเที่ยวที่มาพักแรมที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสกับบรรยากาศของการพักในฟุนายะเท่านั้น แต่จะได้เพลิดเพลินกับอาหารทะเลสดๆจากอ่าวอิเนะอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับหมู่บ้านอิเนะ (Ine Village)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Amanohashidate โดยสารรถบัส Tankai Bus ลงที่ Ine bus stop (400 เยน) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
ที่อยู่
    • Ine Funaya, 〒626-0423 Kyoto, Yoza District, Ine, Hirata, 77
    • โทร : 0772-32-0277
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวันตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม (อัตราค่าเข้าพักโปรดดูที่เว็บไซต์)
เว็บไซต์

Back To Index

11. วัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)

วัดเบียวโดอินเป็นวัดพุทธที่ตั้งอยู่ในเมืองอุจิ จังหวัดเกียวโต ปัจจุบันได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจากยูเนสโก แรกเริ่มเดิมทีสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่วัด แต่เป็นที่พักตากอากาศของตระกูลฟูจิวาระที่สร้างขึ้นในปี 998

สถานที่แห่งนี้ได้เปลี่ยนเป็นวัดในปี 1053 และในปีเดียวกันนี้ได้มีการก่อสร้างอาคารนกฟีนิกซ์ขึ้น ซึ่งอาคารดังกล่าวเป็นสถาปัตยกรรมหนึ่งเดียวที่เหลือรอดจากภัยธรรมชาติและสงครามในตอนนั้น วัดเบียวโดอินจึงคงความเป็นเอกลักษณ์และความดั้งเดิมนี้ไว้จนถึงปัจจุบัน

สาเหตุที่เรียกว่า ‘อาคารนกฟีนิกซ์’ เป็นเพราะโทนสีอบอุ่นของตัววัด และรูปทรงอาคารที่สง่างาม ทำให้เราเห็นว่าอาคารมีลักษณะคล้ายนกที่กำลังกางปีก เมื่อได้เห็นเงาของตัวอาคารที่ปรากฏบนผิวน้ำในสระขนาดใหญ่ ก็เหมือนกับเราได้เห็นนกฟินิกซ์ยักษ์โผบินสู่ฟากฟ้า

นอกจากนี้วัดเบียวโดอินยังปรากฏอยู่บนเหรียญ 10 เยนด้วยนะ ไม่เชื่อก็ลองหยิบเหรียญขึ้นมาดูสิ!

อ่านข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับวัดเบียวโดอินและเมืองอุจิได้ที่นี่ > เยือนแดนชาเขียว เมืองอุจิ

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเบียวโดอิน (Byodoin Temple)

วิธีเดินทาง
    • สำหรับท่านที่มี Kintetsu Rail Pass แบบ 5 day หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถไฟ Kintetsu ได้ โดยให้ขึ้นรถไฟไปที่สถานี Okubo (ใช้เวลา 23 นาที) เมื่อถึงสถานี Okubo แล้วให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ujibashi Nishizume (ใช้เวลา 12 นาที) แล้วเดินอีกประมาณ 4 นาที (ใช้ Kintetsu Rail Pass เพื่อนั่งรถบัสฟรีได้)
    • ส่วนคนที่โดยสารรถไฟ JR ให้นั่งรถไฟตรงมาที่สถานี Uji เลย (ใช้เวลา 33 นาที ค่าโดยสาร 240 เยน) แล้วเดินอีก 12 นาที
ที่อยู่
    • Byodoin Temple, 116 Uji Renka, Uji City, Kyoto 611-0021, Japan
    • โทร : 0774-21-2861
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลา 8:30 – 17:30 น.
    • สามารถทัวร์อาคารนกฟีนิกซ์ได้ทุกวัน ในช่วงเวลา 9:30 – 16:10 น.
    • ส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดทำการทุกวัน ในช่วงเวลา 9:00 – 17:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ผู้ใหญ่ 600 เยน
    • เด็กมัธยมต้น 400 เยน
    • เด็กประถม 300 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

ย่านชอปปิ้ง

  1. ย่านกิอง (Gion Zone)
  2. ถนน Kiyomizu-Zaka Street
  3. ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)

1. ย่านกิอง (Gion Zone)

ย่านกิอง (Gion) ในเมืองเกียวโต (Kyoto) เป็นย่านที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่นโบราณ และเป็นย่านที่หลายๆคนอยากมาเยือนเพื่อชมความสวยงามของเกอิชา (Geisha) ในชุดกิโมโนดั้งเดิมที่มีความประณีต

pptara / Shutterstock

เกอิชาเป็นหญิงสาวที่มีความชำนาญในงานศิลปะและทำหน้าที่ดูแลแขกในร้านน้ำชา นอกจากนี้เกอิชายังเป็นอาชีพที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ (ปัจจุบันมีกฎห้ามถ่ายรูปภายในบริเวณย่านนี้)

ข้อมูลเกี่ยวกับย่านกิอง (Gion Zone)

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 100 หรือ 206 ไปลงที่ป้าย Gion ได้ โดยใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 5 นาที
    • นอกจากนี้สามารถนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Gion Shijo หรือสถานี Kawaramachi ก็ได้เช่นกัน
ที่อยู่
    • Gion, 570-2 Gionmachi Minamigawa, Higashiyama Ward, Kyoto, 605-0074
    • โทร : 0755611119
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวันตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม

Back To Index

2. ถนน Kiyomizu-Zaka Street

ถนน Kiyomizu-Zaka Street คือถนนที่มุ่งตรงสู่วัดคิโยมิสึ ซึ่งมีร้านรวงแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมตลอดเส้นทาง ถ้านับจากวัดคิโยมิสึไปจนถึงศาลเจ้ายาซากะ ถนนเส้นนี้จะมีระยะทางรวมประมาณ 2 กิโลเมตร จึงใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการเดินให้ทั่ว

ตลอดทางเราจะเห็นร้านค้าต่างๆตั้งเรียงรายไปตามแนวถนน ด้วยบรรยากาศแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม รวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้านเรือนใน ‘จังหวัดเกียวโต’ อีกทั้งยังมีอาหารพื้นเมืองและขนมท้องถิ่นหลากหลายชนิดให้ได้ลองลิ้มชิมรสอยู่เป็นระยะๆ ถนนสายนี้จึงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนไม่น้อยเลย

ข้อมูลเกี่ยวกับถนน Kiyomizu-Zaka Street

วิธีเดินทาง
    • หากมาจากสถานี Kyoto สามารถขึ้นรถบัสสาย 205, 206 หรือ 207 ไปลงที่ป้าย Kiyomizumichi ได้ โดยใช้เวลา 20 นาที แล้วเดินอีกประมาณ 3 นาที
ที่อยู่
    • Kiyomizu-Zaka Street, Kiyomizu, Higashiyama-ku, Kyoto 605-0862, Kyoto Prefecture
เวลาทำการ
    • ร้านค้าส่วนใหญ่เปิดทำการทุกวัน ในเวลา 10:00 – 18:00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม

Back To Index

3. ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)

Phanu D Pongvanit / Shutterstock

ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market : 錦市場) เป็นตลาดเก่าแก่ของ ‘จังหวัดเกียวโต’ มีอายุหลายร้อยปี เพราะก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เดิมที่นี่เป็นตลาดขายส่งปลา ต่อมามีสินค้าปลีกอื่นๆอีกเป็นจำนวนมากที่จำหน่ายในตลาดแห่งนี้

ตลาดนิชิกินั้นเรียกว่าเป็นเหมือนครัวของ ‘จังหวัดเกียวโต เลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะมีอาหารสด อาหารทะเล และผลไม้สดหลากชนิดแล้ว ตลอดแห่งนี้ยังมีของกินอื่นๆอีกเยอะแยะเต็มไปหมดเลยล่ะ ช่างเป็นตลาดที่อุดมสมบูรณ์จริงๆนะ!

ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดนิชิกิ (Nishiki Market)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Kyoto นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Shijo หรือสถานี Karasuma แล้วเดินอีก 5 นาที
ที่อยู่
    • Nishiki Market, 609 Nishidaimonjicho, Nakagyo Ward, Kyoto, 604-8054
    • โทร : 075-211-3882
เวลาทำการ
    • เปิดทำการทุกวัน เวลา 9.00 – 17.30 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำ ‘จังหวัดเกียวโต’

1. ชาเขียว

อุตส่าห์มาถึง ‘จังหวัดเกียวโต’ เมืองแห่งชาเขียวทั้งที ของกินที่พลาดไม่ได้คงต้องเป็นชาเขียวนี่ล่ะ

ว่าแต่มีเมนูอะไรที่ควรลองบ้างนะ?

https://jw-webmagazine.com

ของอย่างแรกที่จะแนะนำเป็นของหวาน เมนูที่ทางร้านแนะนำมาก็จะเป็น Gion Tsujiri

https://www.giontsujiri.co.jp/

https://media.sharing-kyoto.com

ไปต่อที่ของคาวกันบ้าง โซบะชาเขียวของร้าน Shofukutei ก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะ

อยากแหวกแนวให้สุดต้องราเมนชาเขียว! จากร้านราเมนทานากะคิวโช (ラーメン田中九商店) ซึ่งอยู่ในละแวกอุจิ ใกล้กับวัดเบียวโดอินนั่นเอง

อ่านบทความเจาะลึกเรื่องชาเขียวในย่านอุจิ > Uji ย่านสีเขียวของเกียวโตที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเก่าแก่และของอร่อย -Part II เมืองแห่งชาเขียว

Back To Index

2. นิชินโซบะ (Nishin Soba)

นิชินโซบะ (Nishin Soba) เป็นคาเคะโซบะหน้าปลานิชินแห้งต้มน้ำตาล หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับคำว่าปลานิชิน แต่ถ้าพูดว่าปลาแฮร์ริงก็คงจะถึงบางอ้อกันเลยทีเดียว

นิชินโซบะเป็นอีกเมนูหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากในเกียวโตเพราะนอกจากปลานิชินจะเป็นวัตถุดิบที่หาได้ง่ายจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ทั้งเส้นโซบะและปลาแห้งก็ยังสามารถเก็บไว้ได้นานอีกด้วย จึงไม่แปลกที่นอกจากที่ ‘จังหวัดเกียวโต’ แล้ว นิชินโซบะก็เป็นเมนูที่ฮอตฮิตในฮอกไกโดด้วย

ส่วนเรื่องรสชาติคงไม่ต้องบรรยายกันให้มากความ เพราะนอกจากจะไม่คาวแล้ว เนื้อปลานิชินยังมีรสออกหวานเค็มตัดกับน้ำซุปที่มีความกลมกล่อม ลงตัวอย่างพอดิบพอดีกับเส้นโซบะนุ่มลื่นปรึ๊ดเคี้ยวเพลิน อร่อยฟินอย่าบอกใครเชียว!

Back To Index

3. ยัทสึฮาชิ (Yatsuhashi)

ยัทสึฮาชิ (Yatsuhashi) เป็นขนมกล่องเล็กๆที่มีส่วนผสมของข้าว น้ำตาล และอบเชย นอกจากจะเป็นของฝากขึ้นชื่อของ ‘จังหวัดเกียวโต’ แล้ว ยัทสีฮาชิยังมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจอีกด้วย

ว่ากันว่าคนที่ให้กำเนิดขนมยัทสึฮาชิคือพระภิกษุตาบอดรูปหนึ่งนามว่า ยัทสึฮาชิ เค็งเกียว (Yatsuhashi Kengyo) ถึงแม้ว่าท่านจะพิการ แต่ก็มีความสามารถทางด้านการประพันธ์เพลงและดนตรี นอกจากนี้ท่านยังชื่นชอบการเล่นเครื่องดนตรีประเภทสายอย่างโกโตะด้วย (Koto)

แต่สิ่งที่น่านับถือยิ่งกว่าความสามารถของยัทสึฮาชิ เค็งเกียวก็คืออุปนิสัยที่ถ่อมตน เรียบง่าย และสมถะ เมื่อถึงเวลาฉันอาหาร ท่านก็จะพิถีพิถันในการฉันโดยไม่ให้มีอาหารเหลือทิ้งหรือเสียเปล่า หากวันไหนมีข้าวเหลือติดก้นหม้อก็จะนำมาทำเป็นของว่าง และขนมยัทสึฮาชิก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากการนำเศษข้าวติดก้นหม้อมาผสมกับน้ำตาลและอบเชยนั่นเอง

ก่อนที่ยัทสึฮาชิจะมีรูปร่างเป็นสามเหลี่ยมสอดไส้ต่างๆและให้รสสัมผัสนุ่มนิ่มเหมือนในปัจจุบัน มันเคยมีรูปร่างโค้งเหมือนโกโตะ และให้สัมผัสกรุบกรอบคล้ายเซ็มเบด้วย เพียงแต่จะแข็งกว่าและบางกว่าด้วยกรรมวิธีอบ เพราะการทำยัทสึฮาชิสมัยก่อนจะต้องคำนึงถึงการเก็บรักษา นอกจากนี้รูปร่างที่เหมือนโกโตะนั้นยังเป็นการสร้างเพื่อให้เกียรติแก่ผู้ให้กำเนิดของว่างชื่อดังอย่างยัทสึฮาชิ เค็งเกียว

สำหรับวิธีการรับประทานยัทสึฮาชิ คนเกียวโตนิยมทานคู่กับชาเขียวร้อน หรือกินเล่นเปล่าๆก็อร่อยนะ

Back To Top