รวมสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปโดนสักครั้งใน ‘จังหวัดนากาโนะ’

ธ.ค. 30, 2020

  • [favorite_button]

รวมสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปโดนสักครั้งใน ‘จังหวัดนากาโนะ’

จังหวัดนากาโนะ เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของญี่ปุ่น และมีชื่อเสียงอย่างมากเรื่องการท่องเที่ยวสายธรรมชาติ โดยเฉพาะภูเขา รวมไปถึงทัศนียภาพในฤดูกาลต่างๆที่เต็มไปด้วยสีสันอันแสนงดงาม อีกทั้งการเดินทางมาจังหวัดนี้ยังสามารถทำได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จังหวัดนากาโนะจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ

นอกจาก ‘จังหวัดนากาโนะ’ จะมีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่มีชื่อเสียงแล้ว แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ของที่นี่ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ถ้าหากย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 1998 ที่ญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกฤดูหนาว และ ‘จังหวัดนากาโนะ’ เองก็เป็นสถานที่จัดงานในครั้งนั้น เราจึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่พักดีๆหรือแหล่งชอปปิ้งที่สะดวกครบครันเลยล่ะ

สารบัญ

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดนากาโนะ
    1. ปราสาทมัตสีโมโตะ (Matsumoto Castle)
    2. สวนสาธารณะซากปราสาททาคาโตะ (Takato Castle Ruins Park)
    3. สวนปราสาทอูเอดะ (Ueda Castle Garden)
    4. คามิโคจิ (Kamikochi)
    5. ที่ราบสูงโนริคุริ (Norikura Kogen)
    6. ภูเขาโนริคุราดาเกะ (Mt. Norikuradake)
    7. บ่อออนเซ็นจิโกะคุดานิยาเอ็นโคเอ็น (Snow Monkey Onsen)
    8. ซึมาโกะจูกุ (Tsumago)
    9. มาโกเมะ (Magome)
    10. นาราอิ (Narai)
    11. ชิราโฮเนะออนเซ็น (Shirahone Onsen)
    12. เบสโชออนเซ็น (Bessho Onsen)
    13. ชิบุออนเซ็น (Shibu Onsen)
    14. โนซาวะออนเซ็น (Nozawa Onsen)
    15. สกีรีสอร์ตชิกะโคเก็น (Shiga Kogen Ski Resort)
    16. ฮาคุบะ (Hakuba)
    17. สกีรีสอร์ตโนซาวะ (Nozawa Ski Resort)
    18. ศาลเจ้าโทกาคุชิ (Togakushi Shrine)
    19. วัดเซ็นโคจิ (Zenkoji Temple)
    20. คารุอิซาวะ (Karuizawa)
อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนากาโนะ
    1. ซันโซคุยากิ (Sanzokuyaki)
    2. บาซาชิ (Basashi)
    3. โซบะ (Soba)
    4. โอยากิ (Oyaki)
    5. วาซาบิ (Wasabi)
    6. องุ่นนากาโนะ (Nagano Purple)

สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดนากาโนะ

จังหวัดนากาโนะ เป็นจังหวัดที่สามารถเดินทางไปได้อย่างสะดวก หากโดยสารด้วยรถไฟจะใช้เวลาเดินทางดังนี้

    • จากโตเกียว : 1 ชั่วโมง 16 นาที (Shinkansen)
    • จากนาโกย่า : 3 ชั่วโมง นาที (Limited Express Shinano)
    • จากโอซาก้า : 3 ชั่วโมง 56 นาที (Shinkansen)

ต่อจากนี้เราจะเริ่มแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งชอปปิ้งในนากาโนะกันเลยนะครับ

1. ปราสาทมัตสีโมโตะ (Matsumoto Castle)

ปราสาทมัตสึโมโตะ สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 นอกจากจะเป็นหนึ่งในปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นแล้ว ยังเป็น 1 ใน 5 ปราสาทดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติอีกด้วย

หากสังเกตดีๆ เราจะเห็นว่าผนังสีดำสนิทกับปีกแต่ละด้านของปราสาทมีลักษณะกางออกเหมือนปีกนก ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาจึงเรียกปราสาทแห่งนี้ว่า ‘ปราสาทอีกาดำ’

ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือบริเวณที่ตั้งของปราสาท เพราะปราสาทส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นมักจะสร้างบนเนินเขา เนินหิน หรือกลางแม่น้ำ แต่ปราสาทมัตสึโมโตะสร้างขึ้นบนที่ราบ ซึ่งก็เหมือนกับปราสาทฮิโรชิม่านั่นเอง

เดิมทีปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นโดยชิมาดาจิ ซาดานากะ แห่งตระกูลโอกาซาวาระ แต่ต่อมาได้พ่ายแพ้ให้กับตระกูลทาเคดะ ปราสาทจึงตกอยู่ในการดูแลของตระกูลทาเคดะด้วย แต่ด้วยชัยชนะของโอดะ ในที่สุดตระกูลทาเคดะจึงแตกพ่ายไป ภายหลังโอดะได้มอบปราสาทแห่งนี้ให้กับโทคุกาวะ อิเอยาสึ โชกุนผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น

ในช่วงที่ไดเมียว ‘โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ’ มีอำนาจเหนือปราสาทแห่งนี้ ได้มีการต่อเติมบางส่วนของปราสาทนี้ขนานใหญ่ โดยคำสั่งของ ‘อิชิคาวะ คาสึมาสะ’ ผู้ที่ฮิเดโยชิส่งมาปกครองแทน

แต่แล้วปราสาทแห่งนี้ก็กลับมาเป็นของฝ่ายโทคุกาวะอีกครั้งในช่วงยุคเอโดะ โดยโชกุนได้มอบปราสาทแห่งนี้ให้กับไดเมียวท้องถิ่น และเมื่อสิ้นยุคเอโดะและเข้าสู่ยุคเมจิ รัฐบาลก็ร่างนโยบายรื้อถอนปราสาทมัตสึโมโตะขึ้น แต่โชคดีที่อิชิคาวะ เรียวโซและชาวเมืองได้ช่วยกันระดมเงินซื้อปราสาทแห่งนี้จากรัฐ ปราสาทจึงไม่โดนรื้อถอนและคงอยู่มาถึงปัจจุบัน

นอกจากปราสาทมัตสึโมโตะจะเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีและดอกซากุระที่สวยงามแล้ว ยังมีการจัดเทศกาลและขบวนพาเหรดซามูไรในช่วงฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทมัตสีโมโตะ (Matsumoto Castle)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Matsumoto สามารถเดินไปโดยใช้เวลา 20 นาที หรือนั่งรถบัสโดยใช้เวลา 10 นาที (ระหว่างทางเดินจะมีย่านการค้าให้แวะชอปปิ้งด้วย)
    • สำหรับการเดินทางไปสถานี Matsumoto หากเดินทางจากสถานี Tokyo ให้นั่งรถไฟชินคันเซ็นไปลงที่สถานี Nagano จากนั้นเปลี่ยนเป็นรถด่วนพิเศษ ไปลงที่สถานี Matsumoto (ค่าโดยสาร 10,700 เยน ใช้เวลาเดินทางรวมประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที เหมาะสำหรับผู้ใช้ JR PASS)
    • หากเดินทางจากสถานี Shinjuku แนะนำให้ใช้รถบัส (เที่ยวเดียว 3,800 เยน ไปกลับ 6,900 เยน ใช้เวลา 3 ชั่วโมงต่อเที่ยว)
ที่อยู่
    • Matsumoto Castle, 4-1-0, Marunouchi, Matsumoto City, Nagano Prefecture, 390-0873
    • เบอร์ : 0229-82-2102
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30 – 17:00 น. (ถึง 18:00 น. ในช่วงเทศกาลโอบ้งในเดือนสิงหาคม)
    • ปิดทำการวันที่ 29 – 31 ธันวาคม
    • รายละเอียดเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง โปรดดูจาก Link
ค่าเข้าชม
    • 610 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

2. สวนสาธารณะซากปราสาททาคาโตะ (Takato Castle Ruins Park)

Navapon Plodprong / Shutterstock

Navapon Plodprong / Shutterstock

สวนสาธารณะซากปราสาททาคาโตะ (Takato Castle Ruins Park) ตั้งอยู่บนเนินเขาของเมืองอินา (Ina City) จังหวัดนากาโนะ ห่างจากเมืองมัตสึโมโตะไปทางทิศใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร

สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ เห็นจะเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพราะที่นี่ติด 1 ใน 3 จุดชมดอกซากุระที่ดีที่สุดของญี่ปุ่นร่วมกับปราสาทฮิโรซากิ (Hirosaki Castle) และโยชิโนยามะ (Yoshinoyama) เราจึงขอการันตีว่าคุณจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนสดชื่นและความสวยงามของซากุระที่บานสะพรั่งอย่างแน่นอน

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนสาธารณะซากปราสาททาคาโตะ (Takato Castle Ruins Park)

วิธีเดินทาง
    • ช่วงซากุระบาน จากสถานี Chino ให้นั่งรถบัสไปที่สวน (ใช้เวลา 50 นาที ค่าโดยสาร 1,390 เยน) (ใช้ JR Pass ได้)
ที่อยู่
    • Takato Castle Ruins Park, Takatomachi Higashitakato, Ina, Nagano 396-0213
    • เบอร์ : 0265-78-4111
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
    • 6:00 – 22:00 น. ช่วงซากุระบาน (มีเปิดไฟประดับตอนกลางคืน)
ค่าเข้าชม
    • ฟรี
    • ช่วงซากุระบาน 500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

3. สวนปราสาทอูเอดะ (Ueda Castle Garden)

แม้จะไม่ได้เป็นที่คุ้นหูสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่าไหร่ แต่สถานที่แห่งนี้กลับมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวในประเทศมาก เพราะเป็นปราสาทของซามูไรชื่อดังในตำนาน นั่นก็คือ ‘ซานาดะ ยูกิมูระ’ และเรื่องราวที่ทำให้ชื่อของเขาได้รับการกล่าวขานมาถึงปัจจุบันก็คือ วีรกรรมที่เขานำกำลังพลที่ด้อยกว่าเข้าปะทะทัพใหญ่ของโชกุนโทคุกาวะ แต่เขากลับได้รับชัยชนะมาหลายคราจนนับจำนวนครั้งไม่ถ้วนเลยทีเดียว

https://livedoor.blogimg.jp

และวีรกรรมสุดปังของเขายังสร้างแรงบันดาลใจให้สถานีโทรทัศน์ช่อง NHK นำไปสร้างเป็นละครประวัติศาสตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องซานาดะมารุ (Sanadamaru) แน่นอนว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับชีวประวัติของซานาดะ ยูกิมูระ ทั้งนี้ละครดังกล่าวได้ออกอากาศในปี 2016

ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม โดยเฉพาะช่วงเดือนเมษายนที่ดอกซากุระต่างพร้อมใจกันบานสะพรั่งไปทั่วสวน

อ่านบทความเจาะลึกเกี่ยวกับเมืองอูเอดะได้ที่นี่ > เที่ยวเมืองอูเอดะ บ้านเกิดของยอดนักรบซามูไรในตำนาน

ข้อมูลเกี่ยวกับสวนปราสาทอูเอดะ (Ueda Castle Garden)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย Hokuriku Shinkansen ไปลงที่เมืองอูเอดะ จังหวัดนากาโนะ
    • หากเดินทางจากโตเกียว ใช้เวลาประมาณ 90 นาที ค่าโดยสาร 6,500 เยน
    • หากเดินทางจากคานาซาวะ ใช้เวลาประมาณ 100 นาที และจากสถานี Ueda หากเดินต่อไปอีกประมาณ 12 นาทีก็จะถึงปราสาท
ที่อยู่
    • Ueda Castle Ruins, 6263- i Ninomaru, Ueda, Nagano Prefecture, 386-0026
    • เบอร์ : 0268-23-5135
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันพุธ
    • เวลาทำการ : 8:30 – 17:00 น.
    • ปิดทำการช่วงวันหยุดปีใหม่
ค่าเข้าชม
    • 500 เยน
เว็บไซต์

 Back To Index

4. คามิโคจิ (Kamikochi)

คามิโคจิ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติชูบุซังกะกุ คำว่าคามิโคจินั้นแปลว่าสถานที่ที่เทพเจ้าลงมาประทับ จึงเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีแหล่งธรรมชาติที่แสนบริสุทธิ์แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น นอกจากนี้คามิโคจิเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยวและการผจญภัยสำหรับพื้นที่บริเวณนี้อีกด้วย กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมทำเมื่อมาเยือนอุทยานแห่งนี้ก็คือการเดินเลียบไปตามแม่น้ำอาซุสะ โดยจะเริ่มเดินจากบึงไทโชไปจนถึงสะพานคัปปาบาชิ  ช่วงเวลาที่คามิโคจิจะมีนักท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษก็คือช่วงวันหยุดในฤดูร้อน

พื้นที่บริเวณนี้มีบึงน้ำอยู่ 2 แห่งคือบึงไทโชและบึงเมียวจิน นอกจากนี้บึงไทโชเองก็เป็นสถานที่ถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เพราะสีเขียวมรกตของบึงที่ตัดกับทัศนียภาพของเทือกเขาแอลป์นั้นเป็นความงามที่ยากจะลืมเลือน

หากมีโอกาสได้ไปยังสถานที่แห่งนี้ ก็อย่าลืมเดินขึ้นไปเก็บรูปสวยๆของเทือกเขาโฮตากะและภูเขายาเกดาเกะบนสะพานคัปปะบาจิล่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับคามิโคจิ (Kamikochi)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Matsumoto ให้นั่งรถบัสไปที่คามิโคจิ (ใช้เวลา 90 นาที ค่าตั๋วโดยสารแบบไป-กลับอยู่ที่ 4,650 เยน) ตารางเวลารถบัสดูที่ Link
ที่อยู่
    • Kamikochi, Matsumoto  Nagano 390-1516
    • เบอร์ : 0263-95-2433
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมช่วงตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

5. ที่ราบสูงโนริคุระ (Norikura Kogen)

ที่ราบสูงโนริคุระ ตั้งอยู่บริเวณฐานภูเขาโนริคุราดาเกะ กิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเมื่อมาที่นี่ก็คือ การเดินป่าเพื่อเข้าไปชมน้ำตกและแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สุดแสนตระการตา โดยเฉพาะเส้นทางเดินป่าที่มีปลายทางเป็นบึงอุชิโดเมะ (Ushidome Pond) ซึ่งใช้เวลาเดินเพียง 10 – 15 นาทีเท่านั้น

และถ้าหากมาตอนช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราก็จะได้สัมผัสกับเสน่ห์ที่แตกต่างของสถานที่แห่งนี้ด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับที่ราบสูงโนริคุระ (Norikura Kogen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Matsumoto นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Shin-Shimashima (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 710 เยน) จากนั้นนั่งรถบัสไปลงที่ Norikura Kogen (ใช้เวลา 45 นาที ค่าโดยสาร 1,350 เยน) (มีตั๋วรวมรถบัสรถไฟแบบไป-กลับ 3,350 เยน)
ที่อยู่
    • Norikura Kogen Tourism Association, 4306-5 Azumi, Matsumoto City, Nagano Prefecture 390-1520
    • เบอร์ : 0263-93-2147
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เข้าชมได้ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

6. ภูเขาโนริคุราดาเกะ (Mt. Norikuradake)

ถ้าคุณเป็นสายปีนเขา เราขอแนะนำภูเขาโนริคุราดาเกะที่มีความสูง 3,026 เมตรจากระดับน้ำทะเล! แถมยังเป็นภูเขาที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ของภูเขาที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่นด้วย

หากอยากขึ้นไปยังยอดเขา เราสามารถนั่งรถบัส Norikura Bus Terminal ขึ้นไปได้ ซึ่งจะร่นระยะทางไปได้ถึง 2.7 กิโลเมตรเลยทีเดียว จากนั้นก็เดินต่ออีกสัก 1 ชั่วโมงก็ถึงยอดเขาแล้ว

ข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาโนริคุราดาเกะ (Mt. Norikuradake)

วิธีเดินทาง
    • ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม จากโนริคุระโคเกน นั่งบัสจาก  Kanko Center (観光センター前)  ไปลงที่ป้าย Norikura ตรงเชิงเขา (50 นาที 1650 เยน ตั๋วไปกลับ 2800 เยน) จากนั้นเดินอีกประมาณ 60 นาทีเพื่อขึ้นสู่ยอดเขา
ที่อยู่
    • Norikura (Tatamidaira)Nyukawacho Iwaidani, Takayama, Gifu 506-2254
    • เบอร์ : 0263-93-2147
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

7. บ่ออนเซ็นจิโกะคุดานิยาเอ็นโคเอ็น (Snow Monkey Onsen)

สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่น่าสนใจของจังหวัดนากาโนะคือ ‘จิโกะคุดานิยาเอ็นโคเอ็น’ หรือ ‘Snow Monkey Park’ สำหรับคนญี่ปุ่นนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าออนเซ็นแห่งนี้เต็มไปด้วยลิงหิมะญี่ปุ่นที่แช่น้ำร้อนอย่างสบายใจ!

ลิงหิมะญี่ปุ่นก็คือลิงกังนั่นเอง ลิงชนิดนี้จัดว่าเป็นลิงพื้นเมืองของญี่ปุ่น มีลักษณะเด่นคือใบหน้าที่แดงก่ำ เราสามารถพบลิงหิมะญี่ปุ่นได้ตามอุทยานแห่งชาติ และเจ้าลิงที่ทุกคนเห็นกันอยู่นั้นก็คือลิงกังป่าที่ลงมาจากภูเขาอันเหน็บหนาวเพื่อมาแช่น้ำร้อนอย่างสบายใจ

ที่พิเศษมากไปกว่านั้นก็คือ เหล่าลิงป่าแก๊งนี้ทุกตัวสามารถว่ายน้ำได้ ถ้าลองสังเกตสีหน้าของน้องตอนแช่น้ำ เราแทบจะเห็นคำว่าฟินตัวใหญ่ๆเด้งออกมาเลยล่ะ

นอกจากจะได้ใกล้ชิดกับเหล่าลิงทั้งหลายแล้ว เรายังสามารถเดินชมความงามของธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติได้อีกด้วย และถ้าหากใครอยากเดินป่า ขอแนะนำว่าอย่าลืมพกรองเท้าบู๊ตไปล่ะ เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจจะเผลอเดินเหยียบโคลนได้นะ

ข้อมูลเกี่ยวกับบ่อออนเซ็นจิโกะคุดานิยาเอ็นโคเอ็น (Snow Monkey Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Nagano ให้นั่งรถบัสไปลงที่ Shigakogen (ป้าย Snow Monkey Park)  (ใช้เวลา 40 นาที ค่าโดยสาร 1,500 เยน) จากนั้นเดินต่อไปอีก 35 นาที (แนะนำให้ซื้อ Snow Monkey Pass)
ที่อยู่
    • Jigokudani Monkey Park, 6845 Hirao, Yamanochi, Shimotakai District, Nagano 381-0401
    • เบอร์ : 0269-33-4379
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เดือนเมษายน – ตุลาคม เปิดให้เข้าชมในเวลา 8:30 – 17:00 น.
    • เดือนพฤศจิกายน – มีนาคม เปิดให้เข้าชมในเวลา 9:00 – 16:00 น.
ค่าเข้าชม
    • 800 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

8. ซึมาโกะจูกุ (Tsumago)

ซึมาโกะจูกุ (Tsumago-juku) ตั้งอยู่บนเส้นทางนากาเซ็งโด (Nakasendo) ในเมืองคิโซะ (Kiso) จังหวัดนากาโนะ

อดีตนั้นเคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาก เพราะเป็นจุดพักสำคัญที่ตั้งอยู่ระหว่างทางจากเกียวโตไปโตเกียว ก่อนจะเริ่มเสื่อมความนิยมลง หลังจากที่เริ่มมีการพัฒนาเส้นทางรถไฟ และถนนสายใหม่ที่อำนวยความสะดวกมากขึ้น

ปัจจุบันซึมาโกะจุกุยังคงเป็นเมืองเก่าที่มีกลิ่นอายของความเป็นเอโดะ เพราะชาวบ้านต่างช่วยกันอนุรักษ์อาคารเก่าๆไว้

ข้อมูลเกี่ยวกับซึมาโกะจูกุ (Tsumago)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Nagiso นั่งรถบัสลงป้าย tsumako (7 นาที 300 เยน)
ที่อยู่
    • Tsumago-juku Azuma-2159-2 Nagiso, Kiso District, Nagano 399-5302
    • เบอร์ : 0264-57-3123
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

9. มาโกเมะ (Magome)

มาโกเมะจุกุ (Magome-juku) เป็นเมืองเก่าอีกหนึ่งแห่งที่เป็นจุดพักระหว่างการเดินทางจากเกียวโตไปยังโตเกียวในสมัยเอโดะ จุดเด่นของสถานที่แห่งนี้คือทางเดินหินและบรรยากาศที่ดูสดใส และจุดนี้เองที่แตกต่างจากซึมาโกะที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่ฉบับเอโดะแบบจัดหนัก

นอกจากนี้แล้ว นักท่องเที่ยวยังสามารถลองเดินไปตามเส้นทางดังกล่าวประหนึ่งว่าเป็นผู้คนในยุคโบราณได้อีกด้วย นั่นคือการลองเดินจากมาโกเมะไปทางฝั่งเอโดะ(โตเกียว) หรือลองเดินไปทางเกียวโต

ข้อมูลเกี่ยวกับมาโกเมะ (Magome)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Nakatsugawa ให้นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Tsumako (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 570 เยน)
ที่อยู่
    • Magome-juku, 4300-1, Magome, Nakatusgawa, Gifu Prefecture 508-0502
    • เบอร์ : 0573-69-2653
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เข้าชมได้ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

10. นาราอิ (Narai)

AMMLERY / Shutterstock

นาราอิจุกุ (Narai Juku) เป็นอีกหนึ่งเมืองเก่าที่เคยเป็นจุดพักสำหรับผู้สัญจรระหว่างเมืองหลักทั้งสอง นั่นก็คือเกียวโตและโตเกียว

Walaiporn Paysawat / Shutterstock

นอกจากจะเป็นจุดพักที่สำคัญแล้วนั้น นาราอิจุกุยังเป็นย่านการค้าที่คึกคักที่สุดในบรรดาเมืองเก่าทั้งสามแห่งหุบเขาคิโสะอีกด้วย ถ้าใครมีโอกาสได้มาที่นี่ คุณก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศย้อนยุคสไตล์เอโดะอย่างจุใจ และจะได้ช้อปของฝากกันกระจุยกระจายอย่างแน่นอน

ข้อมูลเกี่ยวกับนาราอิ (Narai)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Narai สามารถเดินไปยังนาราอิได้โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที
ที่อยู่
    • Narai-juku, AzNarai, Shiojiri, Nagano 399-6303
    • เบอร์ : 0264-34-3160
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เข้าชมได้ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

11. ชิราโฮเนะออนเซ็น (Shirahone Onsen)

https://cdn.jalan.jp

ชิราโฮเนะออนเซ็น (Shirahone Onsen) เป็นออนเซ็นที่มีชื่อเสียงในบริเวณเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น (Japan Alps) ออนเซ็นแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานและเป็นหนึ่งในสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีชื่อเสียง

คำว่า ‘Shirahone’ นั้นแปลว่ากระดูกสีขาวขุ่น เป็นชื่อที่ตั้งตามสีของน้ำตามที่ตาเห็น สาเหตุที่ออนเซ็นของที่นี่มีสีขาวขุ่นนั้นเป็นเพราะว่าในน้ำมีธาตุแมกนีเซียมและแคลเซียมผสมอยู่อย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ ชาวพื้นเมืองต่างมีความเชื่อว่าบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้มีสรรพคุณบรรเทาโรคระบบทางเดินอาหาร ถ้าได้ลงมาแช่สักครั้งจะมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

สำหรับนักท่องเที่ยวขาจร เราขอแนะนำให้ใช้บริการ Awanoyu ที่เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10:30 – 13:30 น. โดยมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด 820 เยน ทั้งนี้ชิราโฮเนะออนเซ็นจะปิดให้บริการทุกๆวันพฤหัสบดี ถ้าจะมาก็อย่าลืมเช็กวันกันดีๆล่ะ

ข้อมูลเกี่ยวกับชิราโฮเนะออนเซ็น (Shirahone Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Matsumoto ให้นั่งรถไฟสาย Matsumoto Electric Railway ไปลงที่สถานี Shin-Shimashima Station (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 700 เยน) จากนั้นให้นั่งรถบัสไปยัง Shirahone Onsen (ใช้เวลา 70 นาที ค่าโดยสาร 1,450 เยน)
ที่อยู่
    • Shirahone Onsen, Azumi, Matsumoto, Nagano 390-1515
โทร
    • 0263-93-3251
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

12. เบสโชออนเซ็น (Bessho Onsen)

https://i0.wp.com/tabijikan.jp

เบสโชออนเซ็น (Bessho Onsen) เป็นเมืองน้ำพุร้อนเล็กๆที่ตั้งอยู่นอกเขตใจกลางเมืองอูเอดะ จังหวัดนากาโนะ

https://live.staticflickr.com

https://www.japanhoppers.com

ด้วยเหตุที่ภายในเมืองเบสโชออนเซ็นเต็มไปด้วยศาสนสถานอันเก่าแก่และวัฒนธรรมคามาคุระ เมืองแห่งนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญทางการศึกษาและศาสนา ดังนั้นนอกจากจะแวะมาแช่ออนเซ็นแล้ว เราขอแนะนำให้ทุกคนแวะไปเที่ยวชมวัดอันราคุจิ (Anrakuji) ด้วย วัดแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอย่างเจดีย์ไม้ทรงแปดเหลี่ยม นอกจากนี้ก็ยังมีวัดคิตามุกิคันนอน (Kitamuki Kannon) หรือวัดเจ้าแม่กวนอิมที่มีชื่อเสียงด้านการขอพรเรื่องความรักด้วย

สำหรับคนที่ต้องการมาแช่ออนเซ็นที่เมืองเบสโซออนเซ็นแห่งนี้ เราขอแนะนำห้องอาบน้ำสาธารณะหรือโอยุ (Oyu) ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 6:00 ถึง 22:00 น. และปิดทุกวันพุธที่ 1 และ 3 ของเดือน ทั้งนี้ต้องเสียค่าเข้าเป็นเงิน 150 เยน

ข้อมูลเกี่ยวกับเบสโชออนเซ็น (Bessho Onsen)

วิธีเดินทาง
    • นั่งรถไฟชินคันเซ็นสาย Hokuriku Shinkansen ไปลงที่เมืองอูเอดะ จังหวัดนากาโนะ หากเดินทางจากโตเกียวใช้เวลาประมาณ 90 นาที 6,500 เยน หากเดินทางจากคานาซาวะใช้เวลาประมาณ 100 นาที และจากสถานี Ueda ให้นั่งรถไฟต่อไปที่สถานี Bessho Onsen (ใช้เวลา 30 นาที ค่าโดยสาร 590 เยน)
    • นอกจากนี้หากอยากยิงตรงจากโตเกียวไปที่ออนเซ็นเลย สามารถเลือกใช้บริการรถบัสของ Seibu จากสถานี Ikebukuro ได้ (ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 3,800 เยน)
ที่อยู่
    • Bessho Onsen Oyu, 215-1 Besshoonsen, Ueda, Nagano 386-1431
โทร
    • 0268-38-3510
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมตลอดเวลา
    • สามารถเข้าชมได้ทุกวัน
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

13. ชิบุออนเซ็น (Shibu Onsen)

Sean Pavone / Shutterstock

ชิบุออนเซ็น (Shibu Onsen) เป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นชื่อดังของ ‘จังหวัดนากาโนะ’ ตั้งอยู่ในเมืองยามาโนะอุจิ (Yamanouchi)

ด้วยประวัติความเป็นมาที่ยาวนานกว่า 1,300 ปี สถานที่แห่งนี้จึงอบอวลไปด้วยกลิ่นอายความย้อนยุคที่แสนจะน่าค้นหา เป็นที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวแวะเวียนเข้ามายังที่นี่ หากมองไปรอบๆเราจะเห็นเรียวกังไม้แบบดั้งเดิมรายล้อมถนนที่สร้างจากหิน

หากใครชอบความเป็นส่วนตัวล่ะก็ สถานที่แห่งนี้นับว่าเหมาะกับคุณมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ภายในชิบุออนเซ็นจะมีบ่อออนเซ็นให้เข้าใช้บริการทั้งหมด 9 แห่ง เชื่อกันว่าหากใครได้แช่จนครบทั้ง 9 แห่งก็จะได้รับความโชคดีกลับบ้านไปเต็มๆ!

หมายเหตุ : หากไม่ต้องการพักค้างคืนที่นี่ เราขอแนะนำให้ลองใช้บริการออนเซ็นที่โอยุ (Oyu) ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 10:00 – 16:00 น. และมีค่าเข้าบริการ 500 เยน

ข้อมูลเกี่ยวกับชิบุออนเซ็น (Shibu Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Yudanaka สามารถนั่งรถบัสไปที่ชิบุออนเซ็นได้ (ใช้เวลา 5 นาที ค่าโดยสาร 210 เยน) (หากมาที่นี่ควรแวะเที่ยวออนเซ็นลิงหิมะ ‘จิโกะคุดานิยาเอ็นโคเอ็น’ ด้วย ดังนั้นอย่าลืมซื้อ Snow Monkey Pass นะ)
ที่อยู่
    • Shibu Onsen 2112-1 Hirao, Yamanouchi Town, Shimotakai District Shimotakai District, Nagano 381-0401
โทร
    • 0269-33-2921
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เข้าชมได้ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

14. โนซาวะออนเซ็น (Nozawa Onsen)

Venus.1777 / Shutterstock

โนซาวะออนเซ็น (Nozawa Onsen) เป็นเมืองออนเซ็นเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ยุคเอโดะ บรรยากาศย้อนยุคอันแสนสงบนั้น ทำผู้คนที่มาเยือนสถานที่แห่งนี้ได้รับความเป็นส่วนตัวอย่างมากเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมีเสียงเล่าลือกันว่าออนเซ็นของที่นี่มีคุณสมบัติช่วยรักษาสารพัดโรคภัยได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับเส้นประสาท โรคไขข้อ โรคผิวหนัง หรือโรคกระเพาะอาหาร

ข้อมูลเกี่ยวกับโนซาวะออนเซ็น (Nozawa Onsen)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Iiyama ให้นั่งรถบัสไปยังโนซาวะออนเซ็น (ใช้เวลา 25 นาที ค่าโดยสาร 600 เยน)
ที่อยู่
    • Nozawa Onsen, 9817 Toyosato, Nozawaonsen, Shimotakai District, Nagano 389-2592
โทร
    • 0269-85-3111
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เข้าชมได้ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

15. สกีรีสอร์ตชิกะโคเก็น (Shiga Kogen Ski Resort)

สกีรีสอร์ตชิกะโคเก็น (Shiga Kogen Ski Resort) เป็นเมืองสกีใน ‘จังหวัดนากาโนะ’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสกีรีสอร์ตที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

สกีรีสอร์ตแห่งนี้มีทางเดินที่เชื่อมถึงกันทั้งหมด 18 แห่ง โดยบริเวณหลักเรียกว่ายาเคบิไทยาม่า นอกจากนี้ที่ชิกะโคเก็นยังมีเส้นทางสกีหลากหลายเส้นทางสำหรับผู้เล่นทุกระดับ แถมภูเขาก็ปกคลุมด้วยหิมะคุณภาพดีระดับ ‘แพลทตินั่ม’

หลายคนอาจจะคิดว่าหิมะก็คือหิมะ แต่แท้จริงแล้ว ด้วยลักษณะของเกล็ดหิมะที่แห้งและนุ่มฟูเป็นพิเศษของที่นี่นั่นแหละที่ทำให้หิมะของที่นี่มีความพรีเมียมมากๆ นอกจากนี้ชิกะโคเก็นยังเคยเป็นสถานที่จัดโอลิมปิกฤดูหนาวอีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับสกีรีสอร์ตชิกะโคเก็น (Shiga Kogen Ski Resort)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Yudanaka ให้นั่งรถบัสไปยังสกีรีสอร์ตชิกะโคเก็น (ใช้เวลา 30 นาที)
ที่อยู่
    • Shiga Kogen Ski Resort, 7148 Hirao, Yamanochi, Shimotakai District, Nagano 381-0401
โทร
    • 0269-34-2404
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าเล่นสกีตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนพฤษภาคม
ค่าเข้าชม
    • ตั๋วเล่นสกีแบบเต็มวัน 5,500 เยน
    • ตั๋วเล่นสกีแบบครึ่งวัน 4,800 เยน
    • ตั๋วกลางคืน (แตกต่างกันไปตามรีสอร์ตแต่ละที่)
เว็บไซต์

Back To Index

16. ฮาคุบะ (Hakuba)

ฮาคุบะเป็นหนึ่งในสกีรีสอร์ตที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของ ‘จังหวัดนากาโนะ’ เรียกว่าเป็นของดีประจำประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ฮาคุบะมีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพของหิมะซึ่งเป็นแบบพาวเดอร์สโนว์ หรือมีความนุ่มฟูเป็นพิเศษนั่นเอง นอกจากนี้ฮาคุบะยังเคยเป็นสถานที่จัดการแข่งขันโอลิมปิกในฤดูหนาวที่นากาโนะเมื่อปี 1998 อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับฮาคุบะ (Hakuba)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Hakuba ให้นั่งรถบัสไปยังฮาคุบะ (ใช้เวลา 6 นาที)
ที่อยู่
    • Hakuba, 7025 Hokujo, Hakuba-mura, Kitaazumi-gun, Nagano 399-9393
โทร
    • 0261-72-5000
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าเล่นสกีได้ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนพฤษภาคม
ค่าเข้าชม
    • ตั๋วเล่นสกีแบบเต็มวัน 4,200 – 5,500 เยน
    • ตั๋วเล่นสกีแบบครึ่งวัน 3,200 – 4,600 เยน
    • ตั๋วกลางคืน 1,500 – 2,500 เยน (แตกต่างไปตามรีสอร์ตแต่ละที่)
เว็บไซต์

Back To Index

17. สกีรีสอร์ตโนซาวะ (Nozawa Ski Resort)

สกีรีสอร์ตโนซาวะ เป็นลานสกีที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของ ‘จังหวัดนากาโนะ’

ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง คุณสามารถมองเห็นบริเวณทิศเหนือของเทือกเขาแอลป์แห่งญี่ปุ่น (Northern Japan Alps) และทะเลญี่ปุ่น (Sea of Japan) ได้จากที่นี่

นอกจากนี้ที่บริเวณฐานด้านล่างของลานสกียังมี Nozawa Onsen ไว้เป็นที่ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าหลังจากเล่นสกีด้วย เรียกได้ว่าหลังจากเล่นสกีเสร็จเหนื่อยๆ เราก็สามารถผ่อนคลายกับออนเซ็นได้เลยในที่เดียว ครบกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!

สกีรีสอร์ตโนซาวะ (Nozawa Ski Resort)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Iiyama ให้นั่งรถบัสไปยังโนซาวะ (ใช้เวลา 25 นาที ค่าโดยสาร 600 เยน) แล้วเดินไปอีก 10 นาที
ที่อยู่
    • Nozawa Onsen Karasawa Ski Center, 6329 Toyosato, Nozawaonsen, Shimotakai District, Nagano 389-2502
โทร
    • 0269-85-4015
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าเล่นสกีได้ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน – ต้นเดือนพฤษภาคม
ค่าเข้าชม
    • ตั๋วเล่นสกีแบบเต็มวัน 5,200 เยน
    • ตั๋วเล่นสกีแบบครึ่งวัน 4,400 เยน
    • ตั๋วเล่นสกีกลางคืน 1,900 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

18. ศาลเจ้าโทกาคุชิ (Togakushi Shrine)

ศาลเจ้าโทกาคุชิ เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นตามความเชื่อของลัทธิชินโต เพื่อบูชาธรรมชาติอันแสนบริสุทธิ์และเทพเจ้าที่สถิตอยู่บนภูเขาโทกาคุชิ

ภายในศาลเจ้าแห่งนี้ประกอบไปด้วยศาลย่อยอีก 5 แห่ง คือ

  • ศาลเจ้าโอคุฉะ (ศาลเจ้าส่วนใน)
  • ศาลเจ้าชูฉะ (ศาลเจ้าส่วนกลาง)
  • ศาลเจ้าโฮโคฉะ
  • ศาลเจ้าคุซุริวฉะ
  • ศาลเจ้าฮิโนมิโกะฉะ

แต่ถ้าพิจารณาตามระยะทางที่ห่างกันประมาณ 2 กิโลเมตรนั้น ก็จะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงระยะทาง นั่นก็คือ

  • ศาลเจ้าตอนล่าง
  • ศาลเจ้าตอนกลาง
  • ศาลเจ้าตอนบน

ถ้าพูดถึงเรื่องความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้นั้น ในอดีตนั้นศาลเจ้าโทกาคุชิเคยเป็นวัดมาก่อน แล้วจึงกลายเป็นศาลเจ้าในภายหลัง แต่พอเข้าสู่ยุคเมจิ วัดดังกล่าวก็เปลี่ยนเป็นศาลเจ้าด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าในลัทธิชินโตของชาวญี่ปุ่น

สำหรับจุดประสงค์ในการสร้างศาลเจ้าแห่งนี้คือมีไว้เพื่อบูชาเทพอาเมะโน ยาโกโคโระ โอโมอิคาเนะ โน มิโคะโตะ ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งปัญญาซึ่งเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในภารกิจนำแสงอาทิตย์กลับคืนสู่โลก โดยใช้วิธีการแสดงระบำบวงสรวงเพื่อล่อให้สุริยเทวีอามาเทราสึ หรือเทพธิดาแห่งพระอาทิตย์ออกมาจากถ้ำหินแห่งสวรรค์ (Amanoiwato) เมื่อแผนการสำเร็จก็มีเทพอีกองค์เขวี้ยงก้อนหินขนาดใหญ่มาปิดปากถ้ำดังกล่าวไว้ เพื่อไม่ให้เทพธิดาแห่งพระอาทิตย์กลับเข้าไปหลบในนั้นอีก นี่จึงเป็นการคืนแสงสว่างสู่โลกอย่างแท้จริง

แน่นอนว่าตำนานเรื่องนี้ทำให้มีความเชื่ออีกอย่างหนึ่งตามมาด้วย คือความเชื่อที่ว่าที่ตั้งของประตูหินของศาลเจ้าตอนบนนั้น แท้จริงแล้วเป็นหินที่เทพเจ้าองค์ดังกล่าวใช้ปิดปากถ้ำ

นอกจากนี้ภายในเขตศาลเจ้ายังมีต้นสนสามตอที่มีอายุมากกว่า 800 ปีอีกด้วย

สำหรับคนที่อยากมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่ นอกจากจะได้เดินชมเส้นทางในศาลเจ้าแล้ว ก็อาจจะมีโอกาสได้ชมคลาสสอนศิลปะการแสดงระบำไดไดงารุที่หอแสดงระบำบวงสรวงเทพเจ้า(คางุระเด็น)อีกด้วย

ข้อมูลเกี่ยวกับศาลเจ้าโทกาคุชิ (Togakushi Shrine)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Nagano ให้นั่งรถบัสไปยังศาลเจ้าโทกาคุชิ (ใช้เวลา 55 นาที ค่าโดยสาร 1,150 เยน) (ตั๋วไปกลับราคา 2,200 เยน)
ที่อยู่
    • Togakushi-Jinja, Chusha-3506 Togakushi, Nagano, 381-4101
โทร
    • 026-254-2001
เวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เข้าชมได้ตลอดเวลา
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

19. วัดเซ็นโคจิ (Zenkoji Temple)

Korkusung / Shutterstock

วัดเซ็นโคจิ  (Zenkoji) มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,400 ปี วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่มีเสียงเล่าลือว่าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น

ณ อาคารหลักของวัดเซ็นโคจินั้นได้รับการจดทะเบียนให้เป็นสมบัติของชาติในปี 1953 ส่วนประตูทางเข้าวัดหลัก หรือ Sanmon Gate และอาคารเก็บพระคัมภีร์เคียวโซ (Kyozo) นั้น ต่างก็ได้ขึ้นแท่นเป็นสมบัติประจำชาติที่ล้วนมีสำคัญต่อประเทศทั้งสิ้น

SIHASAKPRACHUM / Shutterstock

ถ้าใครต้องการมายังวัดเซ็นโคจิแห่งนี้ ปกติทางวัดจะเปิดให้เข้าชมพระพุทธรูปทุกๆ 6 ปี และครั้งต่อไปที่จะเปิดให้เข้าชมก็คือช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมของปี 2022

เราหวังเป็นอย่างยิ่งเลยว่าพอถึงเวลานั้น ปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 จะคลี่คลายลงแล้ว!

ข้อมูลเกี่ยวกับวัดเซ็นโคจิ (Zenkoji Temple)

วิธีเดินทาง
    • จากสถานี Nagano ให้นั่งรถบัสไปยังวัดเซ็นโคจิ (ใช้เวลา 10 นาที)
ที่อยู่
    • Zenkoji, 491 Naganomotoyoshichō, Nagano, 380-0851
โทร
    • 026-234-3591
วันและเวลาทำการ
    • เปิดให้เข้าชมทุกวัน
    • เวลาที่เปิดให้เข้าชมคือ ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นประมาณหนึ่งชั่วโมงจนถึง 16.30 น.
ค่าเข้าชม
    • 500 เยน
เว็บไซต์

Back To Index

20. คารุอิซาวะ (Karuizawa)

YingHui Liu / Shutterstock

คารุอิซาวะ (Karuizawa) เป็นสถานที่พักผ่อนที่คนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวต่างชาติชื่นชอบกันเป็นอย่างมาก เพราะที่นี่มีทั้งย่านชอปปิ้ง อาหารรสเด็ด และมีทิวทัศน์ที่สวยงาม

สำหรับสายช้อป เราขอแนะนำย่านคิวคารุอิซาวะ กิงซา เพราะเป็นย่านชอปปิ้งที่สามารถเดินเล่นได้สบายๆ มีกลิ่นอายของความเก๋ความชิค

ไม่ไกลจากย่านชอปปิ้ง เราสามารถไปชมความสวยงามของบ่อคุโมบาอิเกะ (Kumobaike Pond) ได้ และในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ทัศนียภาพนี้จะสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อมีใบไม้โทนอบอุ่นประดับประดาอยู่ด้วย

ถ้าได้นั่งรถออกไปอีกหน่อยจะมีน้ำตกชิราอิโตะ (Shiraito Fall) ที่มีลักษณะเป็นน้ำตกเตี้ยๆแต่กว้างมาก โดยที่มาของชื่อน้ำตกเป็นเพราะว่าน้ำที่น้ำที่ไหลลงจากที่สูงแล้วกระทบแผ่นน้ำด้านล่างมีลักษณะคล้ายใยไหมนั่นเอง

ข้อมูลเกี่ยวกับคารุอิซาวะ (Karuizawa)

วิธีเดินทาง
    • หากเดินทางจากโตเกียว ให้นั่งรถไฟ Shinkansen ไปลงสถานี Karuizawa (ใช้เวลา 80 นาที ค่าโดยสาร 5,500 เยน)
    • หรือนั่งรถบัสจากสถานี Ikebukuro (ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ค่าโดยสาร 2,700 เยน)
    • หากต้องการไปเที่ยวน้ำตกชิราอิโตะ ให้นั่งรถบัสจากสถานี Karuizawa ไปลงที่ป้าย Shiraito no Taki (ใช้เวลา 25 นาที ค่าโดยสาร 720 เยน)
ที่อยู่
    • Old Karuizawa Ginza Street, 541 Karuizawa, Kitasaku District, Nagano 389-0102
โทร
    • 0267-42-5211
วันและเวลาทำการ
    • ร้านค้าต่างๆเปิดทำการทุกวัน ในเวลา 10.00 – 19.00 น.
ค่าเข้าชม
    • ไม่มีค่าเข้าชม
เว็บไซต์

Back To Index

อาหารท้องถิ่นประจำจังหวัดนากาโนะ

หลังจากเที่ยวกันมาเพลินๆ เราไปดูกันเถอะว่าในจังหวัดนากาโนะมีอะไรน่าหม่ำบ้าง แต่บอกได้เลยว่าอาหารแต่ละอย่างที่เรานำมาเสนอนั้น เรียกได้ว่าดีงามพระรามสี่ไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวในนากาโนะเลยทีเดียว เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าในนากาโนะนั้นมีอาหารอะไรที่น่ากินบ้าง

1. ซันโซคุยากิ (Sanzokuyaki)

ซันโซคุยากิเป็นของกินขึ้นชื่อของเมืองมัตสึโมโตะ (Matsumoto) เป็นเนื้อไก่หมักซอส โรยด้วยแป้งมันแล้วนำไปย่างไฟ แต่จริงๆแล้วเมนูนี้ยังมีกรรมวิธีการทำอีกแบบหนึ่งด้วย นั่นคือการทอด โดยเป็นการทอดเพื่อให้แป้งที่อยู่ด้านนอกมีรสสัมผัสกรุบกรอบ แต่เนื้อด้านในชุ่มฉ่ำไปด้วยรสของซอสเทริยากิที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเนื้อไก่

Back To Index

2. บาซาชิ (Basashi)

ฉันหิวจนจะกินวัวกินม้าได้ทั้งตัวแล้วนะ!

หลายๆคนคงเคยได้ยินเพื่อนบ่นแบบนี้เวลาหิวจัด สำหรับเจ้าวัวนั้นคงไม่แปลกอะไร เพราะยังไงเราก็กินน้องเป็นปกติอยู่แล้ว แต่กับเจ้าม้านี่สิ อาจดูประหลาดไปสักหน่อย

แต่ถ้าใครก็ตามเจอเพื่อนตัวเองบ่นแบบนี้ที่นากาโนะเมื่อไหร่ ก็คงต้องพาเพื่อนไปจัดสักหน่อยแล้วล่ะ เพราะบาซาชิหรือเมนูที่เราภูมิใจนำเสนอนั้นก็คือซาซิมิเนื้อม้านั่นเอง!

ได้ยินอย่างนี้ก็ไม่ต้องตกใจไปนะ เพราะบาซาชิเป็นของดีประจำจังหวัดนากาโนะเชียวนะ ถ้ามีโอกาสได้ไปชิมกันล่ะก็ คีบเข้าปากโลดเลยจ๊ะ!

Back To Index

3. Soba (โซบะ)

นากาโนะเป็นแหล่งผลิตแป้งบักวีต (buckwheat) ซึ่งเป็นแป้งที่ทำมาจากเมล็ดธัญพืช แป้งชนิดนี้เป็นอาหารที่สำคัญของญี่ปุน และเป็นวัตถุดิบสำคัญในการทำเส้นโซบะ จึงไม่แปลกใจเลยที่นากาโนะจะโด่งดังมากในเรื่องโซบะ ถึงขั้นที่ชาวญี่ปุ่นให้เครดิตเลยว่านากาโนะโซบะคือที่ 1 ในโลกหล้า!

Back To Index

4. โอยากิ (Oyaki)

โอยากิ คือการนำแป้งบักวีตมาห่อด้วยไส้ผักท้องถิ่นชนิดต่างๆของนากาโนะ รวมไปถึงผักดองโนซาวานะ (Nozawa-na) ด้วย

ถ้าใครที่เป็นสายสุขภาพ สายฟิตเนส หรือสายกินคลีน ถ้าไปเที่ยวนากาโนะควรลองเมนูนี้ให้ได้เลยนะ!

Back To Index

5. วาซาบิ (Wasabi)

เนื่องด้วยแหล่งผลิตวาซาบิที่สำคัญของญี่ปุ่นอยู่ในจังหวัดนากาโนะ ดังนั้นเราจะพลาดลองความเผ็ดดุของวาซาบิเจ้าถิ่นไปได้อย่างไร จริงไหม? นอกจากนี้เรายังสามารถเข้าไปชมฟาร์มวาซาบิที่ฟาร์มไดโอวาซาบิ (Daio Wasabi Farm) ได้อีกด้วย

Back To Index

6. องุ่นนากาโนะ (Nagano Purple)

องุ่นนากาโนะ (Nagano Purple) เป็นองุ่นพันธุ์ใหม่ที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างพันธุ์เคียวโฮ (Kyohou) และพันธุ์ริซาแมท (Rizamat) จุดเด่นคือลูกใหญ่เต็มปากเต็มคำดี ส่วนรสชาตินั้น ไม่ต้องบรรยายก็รู้แล้วว่าอร่อย 555 เพราะทันทีที่กัดเข้าไปคำหนึ่ง รสสัมผัสแรกที่เราจะได้รับก็คือความกรุบของเปลือกองุ่น ตามมาด้วยความหวานฉ่ำที่พร้อมจะกระจายทั่วปากของเราโดยอัตโนมัติ

ที่พิเศษมากกว่านั้นคือองุ่นนากาโนะไม่มีเมล็ด เราจึงทานได้อย่างเพลิดเพลินใจ ไม่ต้องมาเคี้ยวไปกังวลไปว่าต้องคายเมล็ดทิ้งตอนไหน และนี่ก็ถือเป็นข้อดีอันแสนประเสริฐในการกินผลไม้เลยทีเดียว สาธุ!

 

Back To Top